มหากาพย์ “ค่าไฟแพง” ที่ไม่รู้ว่า ประชาชนจะต้องทน “แบก” ไปอีกกี่หลายสิบปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทำ “สัญญาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน” รับซื้อค่าไฟแพงในอดีต ที่เคยรับซื้อกันหน่วยละ 8-11 บาท ด้วยเหตุจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันฉบับ ที่ถูกเซ็นไว้ตั้งแต่อดีต ถ้ามองแบบแฟร์ ๆ ถ้าทำเป็นสัญญา 10 ปี 20 ปี เพื่อการันตีเอกชนลงทุนไม่เจ๊ง ก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเป็นหลักร้อย หลักพัน หลักหมื่นล้านบาท เอกชนก็ต้องการการันตี

แต่…ไม่ใช่ว่า จะเซ็นสัญญารับซื้อไฟแพง ชั่วนิจนิรันด์ตราบฟ้าดินสลาย ก็ไม่สามารถแก้สัญญาได้ ต้องรอจนกว่าเกิดทุจริตคาตา สัญญาถึงจะถูกฉีกได้ ถ้าใครไปแตะ ไปโยงถึง ก็จะได้คำตอบเจ็บจี๊ดว่า “เป็นสัญญาที่ยกเลิก หรือแก้ไขไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อ ไม่เช่นนั้นจะถูกเอกชนฟ้องร้อง” ได้

ประชาชนตาดำ ๆ ฟังแล้วได้แต่คิด ทำไม? ทำไม? ทำไม? “ผู้บริหารในอดีต” ไม่เคยคาดการณ์ในอนาคตเลยหรือว่า ต้นทุนทุกอย่างมันจะถูกลง ถูกลง และถูกลง ทำไมต้องเซ็นสัญญาชั่วนิจนิรันด์ตราบฟ้าดินสลายไว้ด้วย ที่สำคัญประเทศเรา ไม่ค่อยมีใครพูดถึงประเด็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ไม่เคยถูกตรวจสอบ ผิดแล้วก็ผิดไป ซ้ำร้ายหลาย ๆ ครั้ง ก็ยังผิดแบบเช่นเดิม แล้วก็เงียบไป เพราะคนใหม่มา ก็มักจะบอกว่า เป็นเรื่องของคนเก่าที่ทำกันมา!! ประชาชนก็ได้แต่รับกรรมกันไป…

ไฟฟ้าสำรองล้นทำค่าไฟแพง

อีกประเด็นที่น่าสะเทือนใจไม่แพ้กัน ประเทศไทยมีไฟสำรองล้นระบบอย่างมาก ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ลากยาวมาถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น การใช้ไฟน้อยลง เพราะส่วนใหญ่แล้วการใช้ไฟฟ้า จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วน 41.1% รองลงมาเป็นครัวเรือน สัดส่วนประมาณ 29% ภาคธุรกิจ 24.8% ภาคเกษตรกร 0.2% (สถิติปี 67) แปลว่า ยิ่งเศรษฐกิจแย่ การใช้ไฟฟ้าก็จะไม่กระเตื้องขึ้นเท่าใดนัก

ดูจากสถิติปี 67 ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) 36,000 เมกะวัตต์ ค่าเฉลี่ย 25,100 เมกะวัตต์ แต่เราผลิตไฟฟ้าสูงถึง 50,724 เมกะวัตต์ แปลว่า เรามีไฟสำรองเกินกว่า 25,624 เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 40-50% เป็นไฟฟ้าสำรอง ทั้งที่ตามหลักสากลหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก สำรองไฟฟ้าเพียง 10-15% นี่ปริมาณเกินมาจำนวนมาก และมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ต้องเดินเครื่องจักร เพราะตอนทำสัญญา เอกชนอ้างว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ ต้องลงทุนสูง หากเดินเครื่องไม่เต็มกำลังการผลิตจะทำให้การชำระเงินกู้ลำบาก รัฐจึงต้องมีการจ่าย “ค่าพร้อมจ่าย” ให้เต็มกำลังการผลิต ซึ่งเป็นการจ่ายเหมือนเดินเครื่องจักรปกติ และทั้งหมดนี้ประชาชนเป็นผู้แบกภาระ

โรงเก่ายังเหลือโรงใหม่มา

เรื่องนี้ “รสนา โตสิตระกูล” กรรมการนโยบายสภาองค์กรของผู้บริโภค ด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ยังมาปูดอีกว่า ล่าสุดปี 68 ก็ยังมีโรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบอีก 3-4 แห่ง ไม่เข้าใจว่า ทำไมยังปล่อยให้มีโรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบมาอีก ทั้งที่ปริมาณผลิตไฟฟ้าเดิม ยังล้นระบบอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งนำโรงไฟฟ้าเข้ามา ก็ยิ่งสร้างภาระในการจ่ายโรงไฟฟ้าที่ไม่ต้องเดินเครื่องมากขึ้นอีก

ส่วน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ยังยอมรับว่า นี่คือเหตุผลที่ผู้ผลิตไฟฟ้าถึงร่ำรวยมหาศาลในระยะเวลาไม่กี่ปี โดยกฎหมายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีมาตั้งแต่ปี 2511 ซึ่งสภาพการผลิตไฟฟ้า การค้า และเศรษฐกิจแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกวันนี้ กฟผ. ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องของการผลิตไฟฟ้า โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ผู้ที่เซ็นสัญญาไม่มีอำนาจในการเจรจากำลังการผลิต

ลองมาย้อนดู “หลักการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า” ทาง กฟผ.ได้อธิบายว่า การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงานปี 2550 จะยึดหลักเกณฑ์การสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าตามลำดับ ลำดับแรก สั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทจำเป็นต้องเดินเครื่อง เพื่อรักษาความมั่นคง ที่เรียกว่า Must Run หากไม่เดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทนี้แล้ว ระบบไฟฟ้าจะเกิดความมั่นคงลดลง อาจทำให้ไฟฟ้าดับได้ เช่น โรงไฟฟ้าในพื้นที่ที่มีการซ่อมบำรุงสายส่งไฟฟ้า

ลำดับสอง จะสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทจำเป็นต้องรับซื้อขั้นต่ำตามสัญญา ที่เรียกว่า Must Take ทั้ง ได้แก่ ผู้ผลิตโรงไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) เพราะหากไม่เดินเครื่องโรงไฟฟ้าเหล่านี้อาจต้องทำให้รัฐจ่ายเงินค่าซื้อไฟฟ้าหรือก๊าซธรรมชาติขั้นต่ำโดยไม่ได้รับพลังงานไฟฟ้า

ลำดับสาม สั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดตามลำดับ ที่เรียกว่า Merit Order ได้แก่ โรงไฟฟ้า กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) เพื่อให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำที่สุด ดูจากคำอธิบายนี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่าย “เรียกร้อง” ให้ลด หรือยกเลิกค่าเอพี เพราะแม้โรงไฟฟ้าจะไม่ได้เดินเครื่อง ก็ต้องจ่ายหลักหมื่นล้านแล้ว สุดท้ายก็ถูกผลักภาระเข้าไปอยู่ในค่าไฟด้วย

กล้ามั้ย!เรียกเอกชนแก้ต้นตอ

ประเด็นอยู่ที่ว่า รัฐบาล โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือกระทรวงพลังงาน หรือสำนัก งานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต้องมีใครกล้า!! ที่จะลุยเรียกภาคเอกชน โรงไฟฟ้า ที่เป็นระดับเจ้าสัว หรือเศรษฐินี มาตั้งโต๊ะเจรจากันใหม่ว่า ควรจะต้องลด หรือยกเลิกค่าเอพีหรือไม่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง เพราะตอนนี้สถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปมากแล้ว หลาย ๆ โรงไฟฟ้า ก็ถึงจุดคุ้มทุน ที่เรียกว่า คุ้มเกินคุ้มแล้ว ที่เหลือเป็นกำไรเหนาะ ๆ ที่สำคัญตอนนี้ปริมาณไฟฟ้าล้นระบบกว่า 50% และดูจากทิศทางเศรษฐกิจไทยแล้ว คาดว่า จะซึมลากยาวอีกนาน ทั้งหมดทั้งมวล อยู่ที่ว่า กล้าพอมั้ย!! ที่จะแก้ตั้งแต่รากปัญหา

รวมทั้งต้องจับตาด้วยว่า ข้อสั่งการที่ประชุม ครม. วันที่ 1 เม.ย. มีมติให้ กฟผ. และบอร์ด กฟผ. รวมทั้ง กกพ. ร่วมดำเนินการใน 3 ข้อต่อไปนี้ให้เสร็จภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติ คือ 1. หาแนวทางแก้ไขปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) ในรูปแบบการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) และรูปแบบการให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (เอฟไอที) รวมถึงการแก้ไขเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาดังกล่าวมีอายุสัญญาต่อเนื่องโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญาไว้

จับตา 45 วันทำได้จริงมั้ย?

2.หาแนวทางแก้ปัญหาค่าความพร้อมจ่าย (เอพี) และค่าพลังงาน (อีพี) รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงอื่นในสัญญาพีพีเอ จากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว ในทุกสัญญาที่มีเงื่อนไขที่ทำให้ กฟผ. หรือรัฐเสียเปรียบ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินควร หรือสูงเกินกว่าความเป็นจริง และ 3. หาแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคของข้อตกลงในสัญญารับซื้อไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ทำให้ศูนย์การควบคุมระบบไฟฟ้า (เอสโอ) ไม่สามารถบริหารจัดการการสั่งผลิตไฟฟ้าให้ต้นทุนผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ลดต่ำลงได้

ขณะเดียวกัน ครม. ยังมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาและเสนอแนวทางปรับโครงสร้างระบบพูล ก๊าซ เพื่อให้ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับใช้ผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน มีราคาต่ำลง โดยต้องดำเนินการให้ทันรอบประกาศราคาค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 68 ซึ่งข้อสั่งการในที่ประชุม ครม. ถือเป็นการแก้ปัญหา จากที่ผ่านมามีประเด็นพูดกันถึงอำนาจในการดำเนินการการปรับลดค่าไฟ ระหว่างคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ กกพ. ต้องดูว่า ทั้ง 3-4 ข้อที่ ครม.สั่งมา ภายใน 45 วัน หรือประมาณกลางเดือน พ.ค.นี้ ผลออกมาจะเป็นอย่างไร

ประสานงา-ประสานงาน

เพราะเริ่มมีการพูดกันหนาหูในแวดวงพลังงานถึงการประสานงาน ระหว่างรัฐมนตรี และข้าราชการประจำระดับสูงมาก หรือแม้กระทั่งหน่วยงานในสังกัดที่ดูแลบางแห่ง ไม่รู้ว่า ทุกวันนี้การทำงานเป็นการ “ประสานงาน” หรือ “ประสานงา” กันมากกว่า จนทำให้เกิดการโต้เถียงกันหลายครั้งทั้งที่สว่าง และมุมมืด ๆ จนบางเรื่องก็ต้องจบที่มติ ครม. สั่งการมา!! เป็นที่โจษจันถึงขนาดมีการมาจับตากันว่า งานนี้ใครจะไปก่อนกันกันแน่!! แต่ก็เดากันได้ยาก เพราะที่มาที่ไปแต่ละคน แต่ละท่าน ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา!!

เอาเป็นว่า มาถึงตรงจุดนี้ ปัญหาเรื่องค่าไฟแพง ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะปัญหาพออากาศร้อนจัด ๆ ทุกคนจะรู้สึกกันทันทีว่าค่าไฟที่เรียกเก็บมาแต่ละเดือนทำไมจึงโดดขึ้นเป็นเท่าตัว เคยเสียเดือนละ 1,500 บาท ก็ทะยานขึ้นไปเกือบ 3,000 บาท หรือบางบ้านก็ทะลุเลยไปด้วยซ้ำ อย่างที่รู้กันทั้งหลายทั้งปวง อ้างกันที่ราคาพลังงาน แต่ถ้ามาแงะ มาล้วง มาแกะไส้ในกันจริง ๆ แล้ว ต้องยอมรับว่ามีสารพัดต้นทุนที่คนไทยไม่ควรจะเสียด้วยซ้ำ

สุดท้าย!! ประชาชนนี่แหละที่เป็นธรรมดา ต้องทนรับกรรมกันต่อไป จนกว่าทุกอย่างจะมี “ผู้กล้าคนจริง” เข้ามาแก้ไขปัญหาค่าไฟแพงไม่รู้จบนี้!!.