บางทีคนเราก็ไม่ได้อะไรหรอก แค่ขอให้ได้ขวางโลกบ้างจะรู้สึกดี …ซึ่งก็เห็นพวกองค์กร สมาคม ฯลฯ อะไรต่างๆ ชอบออกมาเหน็บแนมสื่อปัจจุบันนี้ว่า เน้นแต่ขายดราม่าไม่ประเทืองปัญญา นี่หรือจรรยาบรรณ บลาๆ แล้วแต่จะด่าว่า เพื่อให้คนวิจารณ์ได้ดูสูงส่งทางความคิด… ซึ่งถ้าเอาความหมายของ“ข่าว”จริงๆ มันหมายถึง“ข้อเท็จจริงที่ถูกรายงาน” ผ่านสื่อปากต่อปากหรือมุขปาฐะ สื่อมวลชน หน้าที่ของข่าวสาร คือ ให้ข้อเท็จจริง เตือนภัย สร้างสาธารณมติให้เกิดในสังคม และการให้ความบันเทิง ..ถามว่า “ข่าวผัวเมีย ข่าวชาวบ้านทะเลาะกัน ทำหน้าที่อะไร” ก็ต้องตอบว่า เบื้องต้นมันคือการให้ข้อเท็จจริงก่อน แล้วจากนั้นขึ้นอยู่กับว่า ใครจะ “ถอดรหัส”อย่างไร
อย่างเช่น ถ้าตั้งใจรวบรวมสถิติที่เกิดขึ้น มันอาจทำให้เราเห็นว่า ความรุนแรงในครอบครัวเกิดมากขึ้น และต้องแสวงหาว่า ความรุนแรงเกิดจากอะไร ตอบคำถามโดยใช้หลักฐานให้ได้ เช่น ความเครียด การใช้สุรา การใช้ยาเสพติด ระบอบปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ เมื่อเราได้ปัญหามาแล้วก็ไปสรุปสร้างเป็นสาธารณมติ ว่า ต้นเหตุไหนควรแก้ไขโดยด่วนที่สุด ..สำหรับข่าวพวกดาราสาวมั่นหน้า ข่าวซุบซิบนินทา มันก็อยู่ในหมวด“ข่าวบันเทิง” ซึ่งสื่อก็มีลักษณะว่า จะเป็นสื่อเฉพาะทางด้านนั้นเลยหรือไม่ เช่น เป็นสื่อไฟแนนซ์ สื่อการเมือง สื่อสิ่งแวดล้อม สื่อบันเทิง ก็เลือกเสพเอาที่ตรงใจ หรืออีกอย่างหนึ่งคือ สื่อมีลักษณะวาไรตี้ ในสื่อเดียวมันมีเนื้อหาหลายอย่าง อยากเสพเนื้อหาแบบหนักๆ “คนฉลาดเขาคุยกัน” ก็ไปดู section หรือไปดู timing ที่เผยแพร่เนื้อหานั้นๆ ..ไม่ต้องมาเหน็บความสนใจคนอื่น
หลักการเบื้องต้นของการมีข่าวซุบซิบ คือเพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ก็ชอบรู้เรื่องคนอื่น แล้วเอาไปเล่าต่อเพื่อหาสังคมที่สนใจในตัวคน หรือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ หรือในกรณีที่ไปจิกกัดตามจองล้างคนดัง ก็เป็นเพราะธรรมชาติในด้านร้ายของคนเรา ที่ระบายความรุนแรงในใจไปยังคนอื่น ได้เห็นคนที่อยู่ในฐานะเหนือกว่าทางสังคมต้องราพณาสูรนี่มันเป็นอะไรที่รู้สึกสะใจ หรือบางทีเป็นการได้รู้สึกว่า “ฉันมีศีลธรรมสูงกว่าเขา”
ข่าวที่ดูจะรวมไว้หลายอารมณ์ คือ ทั้งดราม่า ทั้งสาระ คือข่าวการเมือง ที่เราเห็นพรรคการเมืองตีกัน ตระบัดสัตย์ที่เคยพูด เอาแค่ในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาก็มีอะไรสนุกแบบรากเลือดหลายอย่าง ที่เรียกว่า “สนุกรากเลือด” เพราะมันดูน้ำเน่าที่เห็นเรื่องการต่อรอง การสมยอมผลประโยชน์ ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่า “การเมืองไทยไม่ไปไหน” ผู้เล่นก็หน้าเดิมๆ แล้วเอาคนกลุ่มนี้มาเป็นผู้นำประเทศ เป็นองค์กรนิติบัญญัติ มันจะมีอะไรใหม่ๆ ว้าวๆ เลยหรือ ..อย่างการให้ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ไม่ได้ให้เพราะเป็นคนเก่ง ผ่านงานตรงสาย แต่เป็นโควตาพรรค ในพรรคก็มีโควตาอยู่นาน โควตาอาวุโสกันอีก
วาทกรรมบางเรื่องก็อารมณ์แบบ…ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง…เช่นที่กองเชียร์พรรคส้มเขาโวยวายว่า “เพื่อไทยตระบัดสัตย์ ไม่ยอมกับมือกับพรรคก้าวไกล ( ในขณะนั้น ) จัดตั้งรัฐบาล” แล้วสองพรรคก็กลายเป็นคู่กัดกัน วันที่ 27 เม.ย.“อดีตนายกฯแม้ว”ทักษิณ ชินวัตร ไปหาเสียงช่วยผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่ โต้เรื่องตระบัดสัตย์ว่า “ระบบการเมืองคือระบบรัฐสภา ที่หากใครรวมส่งได้เกินกึ่งหนึ่งก็จะได้เป็นรัฐบาล เมื่อปี 2562 ที่พรรค เพื่อไทยชนะมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง พรรคพลังประชารัฐชนะเป็นอันดับสอง เราตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องมาเป็นฝ่ายค้านกับพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น เขาก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ เพราะเขารู้ว่าเราชนะที่หนึ่งแต่รวมเสียงไม่ได้
แต่พอเขาชนะเป็นพรรคลำดับหนึ่ง เพื่อไทยให้โอกาส แต่รวมเสียงยังไงก็รวมไม่ได้ สว.ไม่เอา ใครก็ไม่เอา เป็นคนไม่มีเพื่อน แล้วมาโทษคนอื่น แบบนี้แหละเขายังเป็นละอ่อน ก็คิดแบบละอ่อน บอกว่าจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ถามแล้วหรือยังว่าเราจะเอาหรือไม่ ยังไม่ได้บอกว่าเราจะเอามารวม แต่บอกว่าให้เราไปขอโทษประชาชน มันสึ่งตึง”
เห็นคนตามการเมืองมาสักพักเขาหัวเราะขำ ถามไถ่ได้ความว่า “แม้วแกเพิ่งรู้เหรอ ว่า การเมืองในระบบรัฐสภาไทยมันขึ้นอยู่กับการรวมเสียง ก็ตัวแกเองไม่ใช่เหรอที่ทำใจไม่ได้กับระบบนี้” แล้วก็อธิบายว่า จำม็อบเสื้อแดงปี 52-53 ได้ไหมล่ะ “ขบวนการคนเสื้อแดงตอนนั้น ก็ไม่ยอมรับระบบรัฐสภาแบบที่แม้วพูดที่เชียงใหม่แหละ เรื่องมันเกิดจากว่า กลุ่มเนวิน ชิดชอบ แห่ไปตั้งพรรคใหม่ ภูมิใจไทย แล้วจับมือกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งรัฐบาล เพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งก็คือใช้เสียงข้างมากในสภา ทำไมตอนนั้นแม้วไม่ยอมรับล่ะ พอโต้เท้งดันให้ยอมรับ”
“ก็กระบวนการเสื้อแดงเนี่ย เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภา หาว่าได้เป็นนายกฯ อย่างไม่ชอบธรรม แล้วก็กลายเป็นว่า เป็นกลุ่มที่ถูกใช้ความรุนแรง ตั้งแต่อดีตนายกฯ แม้วกลับมาจากต่างประเทศก็ไม่เห็นจะไปแสดงความเสียใจอะไรแบบเป็นทางการ คนเสื้อแดงก็กลืนเลือดไป เพราะที่สุดแล้ว เพื่อไทยก็ตั้งรัฐบาลโดยไปรวมกับพรรคที่เกิดจากการทำรัฐประหาร แถมยังเอาคู่กรณีในคดีเสื้อแดงอย่างพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลอีก บางคนน่ะเขาเดินหน้าไม่ได้หรอก ถ้าเขายังไม่ได้รับความยุติธรรม หรือชำระล้างอะไรที่เขาค้างคาใจ รู้สึกเหมือนโดนหลอก แกนนำแดงที่บอกให้ก้าวผ่านเรื่องนี้น่ะ เคยได้ไปคุยกับมวลชนที่สูญเสียไหมว่า เขารู้สึกอย่างไร”
เมื่อถามว่า งั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ยึดถือระบอบรัฐสภา ใช่ไหม ทางนั้นตอบว่า “ไม่ ประชาธิปัตย์น่ะเป็นตัวทำให้การเมืองติดล็อคสองครั้ง ตั้งแต่การบอยคอตเลือกตั้งปี 49 โดยอ้างว่า ไม่ยอมรับการเลือกตั้งเพื่อฟอกขาวอดีตนายกฯ แม้ว พอไม่มีสภาแล้วทำอะไรต่อไม่ได้ ก็ต้องรัฐประหาร อีกครั้งหนึ่งก็ม็อบ กปปส. ก็ทำเป็นพูดว่าไม่ใช่องคาพยพเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นกลุ่มสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกไปเคลื่อนไหว แต่คนของประชาธิปัตย์ก็ไปมีบทบาทในม็อบเยอะ และ กปปส.ไม่ทราบใช้ตรรกะวิธีการอะไร ที่ว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต้องถาม HEY !! YOU !! คือยูเอาอำนาจจากกฎหมายไหนมาปฏิรูป ? กางรัฐธรรมนูญหากันแทบตายก็ไม่มี อดีตนายกฯปูเขาก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ คือออกประกาศสำนักนายกฯ ตั้ง กก.ปฏิรูป ก็ไม่เอากัน แบบนี้ก็เรียกว่า ต้องการเอาอำนาจนอกระบบเข้ามา”

บุคคลรายเดิมมีความเห็นว่า “การเมืองเดี๋ยวนี้ไม่ sexy ไม่ชอบการที่เราต้องทนอยู่แบบนี้แต่เราต้องเชื่อมั่นในระบบ คือรอเลือกตั้งใหม่เท่านั้น จะได้เลือกเพราะรัฐบาลหมดวาระ หรือยุบสภา ก็ว่ากันไป”
การเมือง sexy คืออะไร ..มันก็คงไม่ได้หมายถึงการเมืองเร้าเพศ แต่มันเป็นการเมืองที่ “ดึงดูดให้รู้สึกสนใจ” หรือ attractive แบบที่เรารู้สึกว่า รู้สึกตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจ อยากมีส่วนร่วม และไม่ใช่การเมืองสร้างมโนภาพ แบบมีหลวงประดิษฐ์วาทกรรมสร้างภาพขั้วตรงข้ามเป็นคนร้าย ล่อหลอกให้เห็นว่า กลุ่มพวกตนเป็นคนดี เป็น people of revolution เข้ามาร่วมแล้วได้เป็นคนดี ทั้งที่แท้จริง พวกนี้คือพวกเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้อำนาจแบบนอกระบบ
วิธีทำให้การเมือง sexy อันดับแรกคือ “ความเป็นธรรม” ถ้าทั้งกติกา ผู้เล่น ผู้ตัดสินไม่เป็นธรรม มันก็เป็นเกมที่น่าเบื่อตั้งแต่ต้น เพราะเรารู้ว่า “ใครได้ประโยชน์” บางคนก็เห็นกันซึ่งหน้าว่า “ฉวยเอาความบกพร่องของกติกามาแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเอง” มันไม่ fair play ..และจะน่าหมั่นไส้มากถ้าผู้ตัดสินยิ่งไม่เป็นธรรม ..ตัวอย่างจากคดีบอส อยู่วิทยา กับคดีอดีตนายกฯแม้ว ชั้น 14 ซึ่งเป็นคดีตลกร้าย คือเหมือนว่า ตัวต้นเรื่องทั้งคู่ลอยไปไหนต่อไหนแล้ว กระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่ทำอะไรไม่ได้ มาแก้เกี้ยวด้วยการไปเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกราวรูด ตั้งคดีว่าคนนี้เป็นผู้ช่วย คนนี้เอื้อให้ ดึงเช็งกันไม่จบ คดีบอสเกิดตั้งแต่ปี 55 เพิ่งมาเอาผิด“คนไม่สั่งฟ้อง”ได้ปี 68 เอาผิดลูกไฮโซไม่ได้
หรืออย่างการเลือก สว. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับเรื่องสอบ คือ กกต. ก็ดูดึงเช็งไปเรื่อย คำร้องเรื่อง สว.รายนึงน่าจะแจ้งประวัติเป็นเท็จ ซึ่งมันเห็นหราอยู่บนใบแนะนำตัว ก็ไม่รู้ทำไมถึงตะหวักตะบวยไม่เสร็จง่าย ถามไปๆ ก็บอกแค่คืบหน้า ไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งไม่รู้จะพูดทำไมบ่อยๆ ..หน่วยงานองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักว่า ฝ่ายมีอำนาจทางการเมืองครอบงำ ฝั่งนึงไม่โดนอะไร อีกฝั่งนึงหายใจก็ผิด แบบนี้การเมืองมันไม่น่าสนใจ จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เฉยไปเลย บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา”
ต่อมาคือการ “เล่นตามกติกา” เคารพกฎ ไม่ต้องหาช่องว่างหรือความได้เปรียบอะไรมาเหนือกว่าอีกฝ่าย แค่นำเสนอตัวเอง นำเสนอผลงาน นโยบาย “อย่างมีรสนิยม” คือ ไม่เวอร์แบบว่า ทำได้หนึ่งพูดไปสิบ ขายฝันแบบลมๆแล้งๆ มีตัวอย่างให้เห็นว่า แผนที่เสนอมาทำได้จริง ไม่ด้อยค่านโยบายคนอื่น แต่ต้องแข่งกันจูงใจว่า “ของเราสิน่าเลือกกว่า” ไม่ใช้คำหยาบคายเสียดสีเหน็บแนมกันไปจนจบที่เอ็งชั่วข้าก็ชั่ว สรุปมีแต่คนชั่วหมด คนไม่อยากสนใจการเมือง
ที่น่าจะทำให้การเมือง sexy อีกอย่างคือ “ความเสมอต้นเสมอปลาย” ถ้าเป็นตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้ง ก็ไม่ใช่ว่า ก่อนเลือกมาอย่างหลังเลือกหน้าลอยสูงไม่แลใครแล้ว มีอำนาจแล้ว ทำตัวอย่างไรก็ให้เป็นเหมือนเดิม และยังมีคนฝากมาว่า “อย่ามูมมาม” อีกเรื่อง คืออย่าให้เห็นแล้วชวนคิดว่า ได้ตำแหน่งแล้วมาแสวงหาผลประโยชน์ อย่างเอาญาติตัวเองมานั่งตำแหน่งการเมืองกินเงินเดือน หรือไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ช่วยเหลือใครแบบที่ไม่เหมาะสม
สุดท้ายแล้ว การเมืองที่ดึงดูดใจ คือการเมืองที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ถึงจะอ้างว่า เราเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่การเข้าถึง รับฟัง เปิดให้ประชาชนร่วมออกแบบนโยบาย รับเรื่องร้องเรียนและแก้ปัญหาให้ได้ ก็ทำให้ประชาชนหวังกับการเมืองได้ ..เราต่างก็อยากหวังการเมือง , ราชการ ทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ไม่ใช่ต้องหวังพึ่งคนที่ลุกขับเคลื่อนทางสังคม อย่ากัน จอมพลัง ต้นอ้อ ทนายโน่นนี่ อะไรพวกนี้ …
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”