ยานอวกาศเก่าดังกล่าวนั้นถูกสร้างและส่งออกนอกโลกขึ้นสู่อวกาศตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต ตั้งเป้าจะมุ่งสู่ดาวศุกร์แต่เกิดผิดพลาดติดอยู่ในวงโคจรรอบโลก และที่สุดก็ตกลงสู่โลกโดยบริเวณที่ตกอาจเป็นไปได้หลายทวีป ทั้งยุโรป อเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย รวมถึงทวีปเอเชีย ซึ่งหากยังเหลือ ชิ้นส่วนขนาดใหญ่หลังเสียดสีเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศโลกล่ะก็…
มันก็อาจจะเป็น “ภัยจากนอกโลก”…
อาจ “สร้างความเสียหายที่พื้นโลก!!”
โดยที่ “ไทย–คนไทย…ก็ติดโผเสี่ยง??”
ตามรายงานข่าวจากต่างประเทศเกี่ยวกับการตกสู่โลกของยานอวกาศดังกล่าว หลักใหญ่ใจความมีว่า…ระหว่างวันที่ 7-13 พ.ค. จะมีเหตุ “ยานอวกาศเก่าอายุ 53 ปี” น้ำหนักมากกว่า 480 กิโลกรัม ที่ชื่อ “คอสมอส 482” ตกลงสู่พื้นผิวโลก หลังถูกส่งขึ้นสู่อวกาศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 หรือ พ.ศ. 2515 ซึ่งพื้นที่ที่คาดว่าจะมีชิ้นส่วนของยานตกลงมาอาจครอบคลุมหลาย ๆ พื้นที่ของหลาย ๆ ทวีป โดย ความเร็วในการพุ่งชนพื้นโลกคาดว่าจะมีความเร็วอยู่ที่ 249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งกรณีที่ หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดดังว่า…คาดว่าจะมีพลังทำลายเทียบเท่าระเบิดทีเอ็นทีประมาณ ¼ กิโลกรัม!!
คือ “เหมือนระเบิดลูกโตร่วงจากฟ้า”
ร่วงหล่น “พุ่งลงมาระเบิดที่พื้นโลก!!”
พลังทำลายดังกล่าว แม้ไม่ถึงระดับนิวเคลียร์ แต่ยังไงก็คือ“ภัย” และแม้ผู้เชี่ยวชาญจะระบุไว้ว่า…ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก โดยพื้นที่ที่ยานนี้น่าจะตกใส่มากที่สุดคือในมหาสมุทร และเมื่อเสียดสีเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศโลกยานก็น่าจะแทบไม่เหลือชิ้นส่วนขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ตัดประเด็นตกใส่พื้นที่ที่มีคนอยู่ และยังประเมินกรณีเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย
ทั้งนี้ แม้เหตุการณ์ “คอสมอส 482 ยานอวกาศเก่าหล่นใส่โลก” ถูกระบุว่าไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก แต่จากเหตุการณ์นี้ก็ “ชวนฉุกคิด”ถึงเรื่อง “ภัยคุกคามจากอวกาศ” กับกรณี “ภัยจากขยะอวกาศ”ว่า…จริง ๆ แล้ว “ชาวโลก–ชาวไทยปลอดภัยแค่ไหน?” กับภัยประเภทนี้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเว็บไซต์สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ก็มีการให้ข้อมูลไว้ ซึ่งฉายภาพว่า “ขยะอวกาศคืออะไร?” และ “จะสร้างปัญหาให้กับโลกอย่างไร?”

สำหรับ “คำจำกัดความ” ของ “ขยะอวกาศ” หรือ “Space Junk” หรือ “Space Debris” ได้มีการอธิบายไว้ว่า…คือ วัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้วถูกทิ้งไว้ในห้วงอวกาศเมื่อเลิกใช้งานแล้ว โดยมีทั้งขนาดใหญ่ เช่น ยานอวกาศปลดระวาง วัตถุที่สลัดทิ้งระหว่างภารกิจเดินทางสู่อวกาศ ชิ้นส่วนเครื่องจักรและดาวเทียมที่เสียหรือเลิกใช้งานแล้ว และนอกจากนี้ยังอาจจะรวมถึงวัตถุขนาดเล็ก เช่น เศษซากการชนกันของวัตถุที่ลอยอยู่ในห้วงอวกาศ หรือแม้แต่ แผ่นสีที่หลุดลอกออกจากยานอวกาศ ของเหลวแข็งตัวที่ถูกขับออกจากยานอวกาศ …นี่เป็นนิยามโดยสังเขป “ขยะอวกาศ”
ข้อมูลในแหล่งดังกล่าวยังระบุไว้ว่า… ปัจจุบันนี้น่าจะมีขยะอวกาศขนาดใหญ่กว่า 10 เซนติเมตร ล่องลอยอยู่ในวงโคจรโลกมากกว่า 30,000 ชิ้น ส่วนขยะอวกาศที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร น่าจะมีอยู่มากถึง 128 ล้านชิ้น โดยที่ “ปัญหาจากขยะอวกาศ” มีการชี้ไว้ว่า… ยิ่งมีขยะอวกาศมากขึ้นเท่าไหร่…โลกยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น!! ซึ่งแม้ขยะอวกาศส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชาวโลก เพราะมักถูกเผาไหม้หายไปเมื่อตกสู่บรรยากาศโลก อย่างไรก็ตาม ยังมี อีกปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดบนอวกาศ นั่นการที่ “ขยะอวกาศพุ่งชนดาวเทียม” จนเสียหาย จนส่งผลต่อระบบต่าง ๆ
นี่ย่อม “ส่งผลต่อกิจกรรมของมนุษย์”
และจาก “อันตรายจากขยะอวกาศ” ในประเด็นนี้ ทำให้ แต่ละปีหน่วยงานอวกาศต่าง ๆ ต้องบังคับดาวเทียมหลบหลีกขยะอวกาศที่พุ่งเข้าใส่จำนวนหลายร้อยครั้งต่อปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญอวกาศ มองว่า “ขยะอวกาศเป็นภัยคุกคามสำคัญ” จึงพยายามหาวิธี “กำจัดขยะอวกาศ” เหล่านี้ โดยหนึ่งในนั้นก็คือการจัดทำ “แผนที่ขยะอวกาศ (ASTRIAGraph)” สำหรับติดตามวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่อยู่ในอวกาศ เพื่อ พยากรณ์พฤติการณ์ของขยะอวกาศ เหล่านี้…
เพื่อ “ป้องกันโลกเผชิญกับอันตราย”
ขณะที่อีกมาตรการที่ออกมาโดยองค์การสหประชาชาติ คือ กำหนดให้เจ้าของดาวเทียมจะต้องกำจัดดาวเทียมออกจากวงโคจรโลกให้ได้ภายใน 25 ปี นับตั้งแต่วันปลดระวางการใช้งานดาวเทียมดวงนั้นแล้ว ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องคิดค้นหาวิธีกำจัดขยะอวกาศเหล่านี้ ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามเก็บข้อมูลและสำรวจขยะอวกาศพบว่า… มีแนวโน้มที่ “ขยะอวกาศ” จะเกิดสถานการณ์ที่เรียกว่าการ “แพร่กระจายครั้งใหญ่” หรือการที่ “ขยะอวกาศขนาดใหญ่เกิดการแตกตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”ซึ่งแน่นอนว่า…ยิ่งทำให้อวกาศรอบโลกหนาแน่นไปด้วยชิ้นส่วนขยะอวกาศเพิ่มขึ้น…
จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง “ภัยขยะอวกาศ”
ทั้ง “ต่อดาวเทียม–อุปกรณ์ในอวกาศ”
และ “ต่อสวัสดิภาพมนุษย์บนโลก!!”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์