เด็ก 12 คน อายุ 5 และ 6 ขวบ นั่งด้วยกันบนพื้นห้องเรียนในเมืองกัลยาณปุระ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และพยายามระบุคำศัพท์ภาษาฮินดีที่ขึ้นต้นด้วยเสียง “ป” ซึ่งหลังจากออกเสียง “ปาปา” โดยไม่ได้ตั้งใจ เด็ก ๆ ทั้งชั้นเรียนก็พูดคำว่า “ปาปายา” อย่างเป็นเอกฉันท์เสียงดังฟังชัด

แต่สำหรับเด็กเหล่านี้ ซึ่งเกิดในชนเผ่าพื้นเมืองในรัฐราชสถาน การเรียนรู้ที่จะอ่านในภาษาซึ่งพวกเขาและผู้ปกครองไม่ได้พูดนั้น ถือเป็นความท้าทาย

ด้วยเหตุนี้ ทางการอินเดียจึงเปิดตัวโครงการในพื้นที่ 2 เขตของรัฐราชสถาน เพื่อสอนให้นักเรียนอ่านหนังสือในภาษาแม่ของพวกเขา ซึ่งหลายเดือนต่อมา การทดลองก็มีความคืบหน้า

“เมื่อก่อนฉันใช้ภาษาฮินดีกับเด็ก ๆ แต่พวกเขาตอบสนองได้ไม่ดี พวกเขารู้สึกกลัว และไม่สามารถตอบคำถามของฉันได้ แต่ตอนนี้มันคือปาฏิหาริย์ เพราะไม่มีเด็กคนไหนเลยที่ตอบกลับไม่ได้” นางชโสทา โคกริยา ครู กล่าว

อนึ่ง โรงเรียนอินเดียมีอัตราการสมัครเข้าเรียนสูง แต่ผลการเรียนกลับอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก โดยปัญหาสำคัญประการหนึ่ง คือ การสอนในระดับประถมศึกษา มักใช้ภาษาที่เด็กนักเรียนไม่เข้าใจ

ในกลุ่มเด็กชาวอินเดียอายุ 8 ขวบ มีนักเรียนเพียง 39% เท่านั้น ที่อ่านหนังสือได้ถึงระดับที่กำหนด และตัวเลขข้างต้นลดลงเหลือแค่ 10% ในกลุ่มเยาวชนชาวอินเดียอายุ 15 ปี ซึ่งแม้สถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความยากจน การแต่งงานในวัยเด็ก และการฝึกอบรมครูที่ไม่ดี แต่ภาษาก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน

“สังคมของเรามีหลายภาษา ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ เมื่อเด็ก ๆ มาโรงเรียน” นางสาธนา ปันเท จากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) กล่าวเพิ่มเติมว่า งานศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดในช่วงปีแรก ๆ ด้วยภาษาแม่ของพวกเขา

ในหลายรัฐของอินเดีย นักเรียนได้รับการสอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฮินดี ซึ่งหลายครอบครัวอาจมีความรู้ไม่มากนัก

นับตั้งแต่ปี 2563 กระทรวงศึกษาธิการอินเดียระบุว่า การศึกษาระดับประถมศึกษาในภาษาแม่ของนักเรียน เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรัฐราชสถานดำเนินการขั้นตอนทั้งหมด เพื่อจัดทำโครงการนำร่อง โดยการสำรวจในเขตชนบท 9 แห่งของรัฐ พบว่านักเรียนประถมศึกษา 250,000 คน พูด 31 ภาษา ทว่าในจำนวนนี้ 75% ไม่เข้าใจและไม่สามารถพูดภาษาฮินดีได้

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการยังต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ครูไม่ได้รับการฝึกอบรมให้ใช้ภาษาของเด็ก สำหรับการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการในห้องเรียน

ทั้งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐราชสถาน ยูนิเซฟ และพันธมิตรในพื้นที่ กำหนดเวลา 2 ปี เพื่อบรรลุความสำเร็จ และหากมีความจำเป็น ก็จะขยายโครงการออกไปด้วย

“จากโครงการในรัฐราชสถาน เราเห็นว่าเด็กเข้าเรียนกันมากขึ้น ครูมีโครงสร้างมากขึ้น และมีการวางแผนมากขึ้นในการใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีอยู่ในห้องเรียน อีกทั้งผู้ปกครองก็มีส่วนร่วมในโรงเรียนมากขึ้น ซึ่งเราคาดหวังว่า เด็กจะมีผลการเรียนรู้ที่ดีขึ้น” ปันเท กล่าวทิ้งท้าย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP