ล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เกิดกระแสครึกโครมเมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่งออกมาถามหาความรับผิดชอบจากชายรายหนึ่ง แต่ที่สุดก็เป็น “ท้องทิพย์–ท้องเก๊” ขณะที่ในอีกมุม…ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีที่เป็นกระแสดัง คือมีหญิงรายหนึ่งออกมาโวยและเรียกหาความรับผิดชอบจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยออกมาร้องว่า “ลูกในครรภ์หาย??” แต่ที่สุดก็เป็น “ท้องหลอก” ซึ่งจากหลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้น…โดยเฉพาะ “ท้องทิพย์” ก็น่าพินิจ??…
ว่า…“ปรากฏการณ์ท้องทิพย์” นั้น…
“ปัจจัยอะไร??”ที่ “ทำให้เกิดการอ้าง”
จนเป็น “ข้ออ้างยอดฮิตที่ถูกนำมาใช้”
ทั้งนี้ จากปรากฏการณ์อื้ออึงเกี่ยวกับการ “ใช้เรื่องตั้งท้องเป็นข้ออ้าง…โดยที่ไม่ได้ท้อง” ซึ่งในไทยระยะหลังมานี้ดูจะเกิดกรณีลักษณะนี้บ่อย ๆ นั้น กับเรื่องนี้ทาง จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้วิเคราะห์ และสะท้อนถึง “ปรากฏการณ์ท้องทิพย์” ผ่านทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… กรณีมีข่าว “ผู้หญิงอ้างว่าท้อง” หรือ “หลอกว่าตั้งท้อง”เกิดต่อเนื่อง จนสังคมตั้งคำถามว่า…เกิดอะไรขึ้น?? จริง ๆ เคสแบบนี้มีไม่เยอะ ซึ่งปีหนึ่ง ๆ มีไม่กี่ราย จึงไม่อยากให้ตั้งประเด็นว่าผู้หญิงตั้งใจหลอกผู้ชาย แต่ อยากให้วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขต่อรองกับผู้ชาย
ทางผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สะท้อนต่อไปว่า… ในกรณีที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหกหวังประโยชน์ ส่วนตัวก็ขอให้ผู้ชายที่ถูกเรียกร้องไปแจ้งความเลย อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้สังคมรีบประณามผู้หญิงที่นำเรื่องตั้งท้องมาใช้เป็นข้ออ้าง เพราะจริง ๆ การที่ผู้หญิงจะตัดสินใจนำ “ข้ออ้าง” นี้มาใช้ บางทีลึก ๆ ก็เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมที่ผสมรวมอยู่ด้วย
“อย่างกรณีคลอดเด็กแล้วทิ้ง หรือมีข่าวผู้หญิงไปทำแท้ง พอเกิดเหตุแบบนี้ปุ๊บ สังคมก็จะประณามเพศหญิงทันทีว่า…เป็นแม่ใจยักษ์ เป็นแม่ใจร้าย แต่ไม่โทษผู้ชายเลย และการที่ผู้หญิงทำแบบนี้ก็ไม่ได้ทำเพราะประชดผู้ชาย แต่บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่เหลือตัวเลือกในชีวิตแล้วก็เป็นได้ จึงต้องตัดสินใจทำผิดแบบนี้” …จะเด็จ กล่าว

พร้อมสะท้อนอีกว่า… แม้โลกจะก้าวไกล หรือในไทยมีความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น แต่… ผู้หญิงยังถูกสังคมกดทับอยู่ไม่น้อย ในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่น “ปัญหาค่านิยมเหมารวม” ว่า… เมื่อเกิดการตั้งท้อง ผู้หญิงต้องเป็นคนรับผิดชอบ ทั้งที่การตั้งครรภ์ไม่ใช่ภาระของผู้หญิงคนเดียว แต่ผู้ชาย และครอบครัว ต้องช่วยด้วย และยิ่งปัจจุบันนี้โลกมันเปลี่ยนไปมาก ทำให้ผู้หญิงต้องรับภาระหนักมากขึ้นกว่าในอดีต โดยมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่งานก็ต้องทำเพื่อหารายได้ และพอกลับบ้านก็ต้องเลี้ยงลูก รวมถึงหลาย ๆ คนต้องรับภาระดูแลครอบครัว เช่น ต้องทำงานบ้าน ต้องดูแลพ่อแม่ทั้งของตนเองและฝั่งสามีด้วย
“มันวนลูปแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว และยังไม่มีการแก้ในเชิงโครงสร้าง ก็เลยเป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ผู้หญิงหลายคนไม่มีทางเลือกก็เลยนำเรื่องท้องมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ซึ่งถ้าผิดก็ว่ากันไปตามผิด แต่ที่อยากฝากไว้ให้คิดมากกว่าก็คือ ทำไมปัญหาคลาสสิกแบบนี้จึงยังมีอยู่? ทำไมไม่หมดไป?” …ทาง จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สะท้อนชวนคิดผ่านมาทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” เกี่ยวกับ “ปรากฏการณ์ท้องทิพย์”
ทั้งนี้ กับกรณี “ท้องทิพย์” ที่เป็นมุมการ “อ้าง–หลอก” นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ มีอีกกรณีที่ก็น่าพินิจไว้เช่นกันนั่นคือกรณี “ท้องหลอก…ในมุมการแพทย์” โดยข้อมูลที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อ-ชวนพินิจ ณ ที่นี้ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากบทความที่มีการเผยแพร่ไว้ทาง เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นบทความให้ความรู้ประชาชนเรื่อง “ท้องลม…ท้องหลอก”ซึ่งมีการจัดทำไว้โดย รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์–นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่ได้อธิบายเกี่ยวกับกรณี “ท้องลม” และกรณี “ท้องหลอก” ไว้ โดยสังเขปมีดังนี้…
ทาง รศ.นพ.วิทยา ระบุไว้ว่า… ผู้หญิงบางคนที่ตั้งใจอยากจะมีลูกมาก ๆ เมื่อประจำเดือนขาดหายไปก็ย่อมดีใจและสงสัยว่าตัวเองตั้งท้อง ยิ่งเมื่อตรวจด้วยเครื่องทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะแล้วบ่งชี้ว่าท้อง ก็จะยิ่งดีใจ แต่เมื่อไปพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ หลังการตรวจกลับปรากฏว่า…มีการ ตั้งท้องจริง…แต่ไม่มีร่างกายของเด็ก!! ซึ่งอาการในลักษณะนี้ พบได้บ่อยเช่นกัน โดยทางการแพทย์เรียกว่า “Blighted ovum” หรือ “ภาวะไข่ฝ่อ”หรือภาษาง่าย ๆ ที่เรียกกันคือ “ท้องลม”
และกรณี “ท้องหลอก” ในทางการแพทย์ก็มี โดยคุณหมอระบุไว้ว่า… อาจมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้จริง ที่ผู้หญิงบางคนไปพบหมอเพราะคิดว่าท้อง ทั้งที่ไม่ได้ท้อง เนื่องจากประจำเดือนขาดหายไป ร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย หรือ เหมือนมีเด็กดิ้นในท้อง หรือรู้สึกท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมั่นใจว่าตัวเองตั้งท้อง แต่พอตรวจร่างกาย…ท้องไม่โต ไม่ได้ท้อง ไม่มีลักษณะการตั้งครรภ์ปรากฏให้เห็นในการตรวจ โดยทาง รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ อธิบายไว้ว่า… ก็เป็นไปได้ที่บางคนอาจมีอาการเช่นนี้ โดย ภาวะที่รู้สึกเหมือนมีการตั้งครรภ์…แต่ไม่มีจริง ทางการแพทย์เรียกว่า “Spurious pregnancy” หรือ “Pseudocyesis” ซึ่งนี่ถือเป็น “ความผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง”…นี่เป็นคำอธิบายในทางการแพทย์
“ท้องทิพย์” กับ “ท้องลม–ท้องหลอก”
“ปรากฏการณ์” นี้ “มี…และก็น่าคิด”
ก็ “น่าพินิจ…แม้ไม่ได้ท้องจริง ๆ”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์