เจอมรสุมการเมืองหลายลูกถาโถมไม่หยุดหย่อน จนป่านนี้ภัยร้ายยังวนอยู่รอบตัว “รัฐบาลแพทองธาร” จับชีพจรตรวจสัญญาณชีพตอนนี้ไม่ต่างจากคนป่วยโรครุม รอเข้าสู่ภาวะโรคร้ายปลิดสัญญาณชีพ

นาทีนี้“นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งโต๊ะแก้เกม เลือกรักษาไปทีละโรค  โดยเฉพาะปัญหาเสถียรภาพรัฐบาล ที่ต้องรีบปิดจ็อบคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร่งพาอารมณ์คนไทยเข้าสู่ “รัฐบาลแพทองธาร ½” หวังสร้างความหวังใหม่ปลอบประโลมใจประชาชน และต้องเร่งเดินเครื่องเข็นประชานิยมใหม่ๆท่ามกลางเศรษฐกิจดิ่ง

หลัง“พรรคภูมิใจไทย” โบกมือลา จนต้องมีการรวบรวมไพร่พลรัฐบาลตอนนี้นับนิ้วแล้วมีพรรคร่วมทั้งหมด 256 เสียง จาก 11 พรรคการเมือง ประกอบด้วย 1.เพื่อไทย 142 เสียง 2.รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง 3.กล้าธรรม 26 เสียง 4.ประชาธิปัตย์ 25 เสียง 5.ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง 6.ประชาชาติ 9 เสียง 7.ชาติพัฒนา 3 เสียง
8.ไทรวมพลัง 2 เสียง 9.เสรีรวมไทย 1 เสียง 10.ประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง 11.ไทยก้าวหน้า 1 เสียง

 ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมี 239 เสียง จาก 5 พรรคการเมืองประกอบด้วย 1.ประชาชน 143 เสียง 2.ภูมิใจไทย 69 เสียง 3.พลังพลังประชารัฐ 20 เสียง 4.ไทยสร้างไทย 6 เสียง 5.เป็นธรรม 1 เสียง

แม้เสียงจะปริ่มน้ำ แต่ก็ใช้วิธีประคับประคองปลอดประโลมประคองกันไปให้ยาว เป้าหมายสิ้นปี ประคองงบประมาณฯ ปี 69ให้ผ่านสภา จะเห็นได้ชัดมีการแจกโบนัสเก้าอี้รัฐมนตรี พรรคร่วมเพิ่ม เพื่อให้จับมือกันไปด้วยกันให้นานที่สุดจนกว่าถึงวันเลือกตั้ง

ถ้ามโนไปถึงสนามเลือกตั้งกลับสถานการณ์ปัจจุบัน จะเห็นแสงสีส้มของพรรคประชาชนเฉิดฉายรอกลบแสง “สีแดงและสีน้ำเงิน” ของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ที่ส่อเค้าจะฟาดฟันกันเอง สุดท้ายตาอยู่สีส้มเอาไปรับประทาน

แต่ก่อนที่จะถึงสนามเลือกตั้ง ระหว่างนี้มีเรื่องทำให้กระดานการเมืองเดือดเพิ่มระดับขึ้นไปอีก เป็นที่น่าจับตา เพราะทันที่ที่พรรคภูมิใจไทยออกไปเป็นรัฐบาล การสางแค้นชักธงรบกับ “สีน้ำเงิน” ก็เริ่มทันทีกับการดึงกัญชามาเป็นยาเสพติด บรรดาข้าราชการสีน้ำเงิน พากันขวัญผวาหวั่นเกรง “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” จะย้ายล้างบาง โดยเฉพาะ “อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่คอยเป็นเงาติดตัว “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีระกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องหนาวๆร้อนๆ เพราะอาจจะโดนโยงอยู่ในเครือข่ายสีน้ำเงิน ต้องเช็คบิล อีกทั้งคดีเขากระโดงก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่พลิกเกมเล่นงาน “ตระกูล ชิดชอบ”

อย่างไรก็ตามสภาพของรัฐบาลตอนนี้เปรียบเหมือนมีศึกรอบด้าน ศัตรูรอบตัว เพิ่มเติมด้วยแรงศรัทธาจากประชาชนดิ่งเหว และจะเป็นแรงบีบพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะรวมไทยสร้างชาติ ให้ทำตามกระแสสังคม จนกลายเป็นการพลิกเกมจากมิตรเป็นศัตรู

แต่ที่เป็นสัญญาณปลิดชีพของ “รัฐบาลแพทองธาร” คือ องค์กรอิสระโดยวันที่ 1 ก.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้“นายกฯอิ๊งค์” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ จากคำร้อง “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภายื่นคำร้อง 36 สว.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีบทสนทนากับ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าข่ายให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

ขณะเดียวกันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็รับสอบปมคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง นายกฯอิ๊งค์กับ อังเคิลฮุนเซนด้วยเช่นกัน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่า ซึ่งการตรวจสอบคลิปเสียงป.ป.ช.จะเน้นเนื้อหา ของข้อความ หากพยานหลักฐานชัดเจนก็อาจไม่มีความจำเป็นต้องเรียกตัว “นายกฯอิ๊งค์” มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และหากมีมูลเพียงพอก็จะเข้าสู่กระบวนการไต่สวนตามขั้นตอน

สถานการณ์ “รัฐบาลแพทองธาร” ไม่สู้ดี เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย และเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลเองยอมใส่เกียร์ถอย ถอนฟืนออกจากกองไฟ โดยชักร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์หรือสถานบันเทิงครบวงจร ออกจากการประชุมสภาในวาระแรกออกมาก่อน สลับดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ขึ้นมาพิจารณาแทน เหมือนเป็นการซื้อใจมิตร เพราะไม่มั่นใจเสียงที่มีอยู่ในมือจะหักหลังกลางสภาหรือไม่ เพราะมีเรื่องไม่พอใจขุ่นเคืองกันอยู่

ยังไม่รวมศึกรอบด้านที่ “พรรคภูมิใจไทย” ประกาศสวมบทวัยรุ่นใจร้อนจับมือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งต้องใช้เสียง 1 ให้ 5 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่  495 ต้องได้จำนวน 99 เสียง ซึ่งพรรคภูมิใจไทย มี 69 เสียง เพิ่มจากพรรคพลังประชารัฐเติมมาอีก 19 เสียง รวมเป็น 88 เสียง ยังขาดอีก 11 เสียง

ซึ่งท่าทีของพรรคประชาชนออกตัวมาแล้วไม่เห็นด้วยที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดย สส.ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ชี้ว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 นั้น ถือว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อปีสมัยการประชุม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ เริ่มวันที่ 3 ก.ค.68 จะไปสิ้นสุด 2 ก.ค.69 และหากจะใช้อาวุธนี้จึงต้องใช้อย่างแม่นยำและต้องหวังผล เพื่อไม่ให้เสียของ นอกจากนี้ ตอนนี้เพิ่งมีการปรับครม.ใหม่ จึงต้องขอดูก่อนว่า ครม. ใหม่ที่จะตั้งประกอบด้วยใครบ้าง จะได้สรุปถูกว่านอกจากจะยื่นไม่ไว้วางใจนายกฯแล้ว จะยื่นไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดอีกบ้าง

ต้องดูความสามารถพรรคภูมิใจไทยจะหาเสียงมาเติมได้อย่างไร พรรคประชาชนไม่เอาด้วยจะกลายเป็นกระสุนด้านหรือเปล่า ขณะที่พรรคประชาชนก็จะถูกมองว่าที่ไม่เปิดอภิปรายฯก็เพราะมีการ “ซูเอี๋ย” อยู่กับ “พรรคเพื่อไทย” หรือไม่

นอกจากนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ยังเจอสนามรบกับ “อังเคิล ฮุนเซน” ที่เปิดฉากไลฟ์สด เปิดโปง “ทักษิณ” สมัยลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในกัมพูชา หลังจากก่อนหน้านี้ ปล่อยคลิปสนทนา “ลุงฮุนเซน -หลานอิ๊งค์” มาแล้ว ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของคนไทย และจะเป็นเกมร้อนในการพลิกกระดานการเมืองได้

ยังไม่รวมกับเหตุวินาศกรรม ที่เรียงหน้าผุดขึ้นมาเขย่าขวัญคนไทย ทั้งเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหลายจุด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งสนามบินภูเก็ต โรงแรมริมหาดป่าตอง หน้าผาแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต และ หาดนพรัตน์ธารา ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ซึ่งโชคดีที่ชุดอีโอดี สามารถเข้าทำลายได้ทันทั้งหมด และสามารถจับคนร้ายได้

          ขณะที่กองทัพเรือออกมายอมรับใช้มาตรการ Anti-Drone ตัดสัญญาณโดรนไม่ทราบฝ่ายตก 4 ลำ หลังบินเหนือฐานชายแดน จ.จันทบุรี ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

สอดรับกับที่ “ผบ.ทหารสูงสุด” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมจำลองแผนก่อวินาศกรรมรถไฟฟ้า โดยเปิดฝึกร่วม “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” 27 มิ.ย.รับมือวิกฤติระดับชาติในเขตเมือง จำลองสถานการณ์”ก่อการร้าย-วินาศกรรม”สถานีรถไฟฟ้า สำหรับการฝึกนี้จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือเหตุวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้ท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศ และพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ยังมีความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีม็อบได้ประกาศชักธงรบไล่ “นายกฯอิงค์” ทั้งหมดนี้คือทางวิบากรอรับ “รัฐบาลแพทองธาร ½” ท่ามกลาง ศึกรอบด้าน ศัตรูรอบตัว หันไปอีกฟากศรัทธาประชาชนก็ดิ่งเหว มรสุมลูกนี้น่าจะเกินมือ “นายกฯอิ๊งค์”