ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดซับซ้อนมากมายเกี่ยวกับกรณีนี้ก็เป็น “ผลพวงจากความไม่ชัดเจนด้านต่าง ๆ” ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้มีการจัดกิจกรรมเพื่อ “สะท้อนมุมมอง” ต่อปัญหากรณีดังกล่าวนี้ ที่หลาย ๆ ข้อสะท้อนนั้นก็“มีมุมน่าคิด”น่าสนใจ…
เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องผู้ให้บริการรถ
แต่ยัง “เกี่ยวพันประชาชนผู้ใช้บริการ”
กิจกรรมดังกล่าว ที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูล มีชื่องานว่า “การประชุมสุดยอดด้านบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันครั้งแรกของภูมิภาค (The 1st Southeast Asia Ride-Hailing Industry Summit 2025)” ซึ่งจัดขึ้นในไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยหนึ่งในไฮไลท์คือเปิดพื้นที่ให้ผู้ให้บริการด้านนี้ได้สะท้อนมุมมอง เสนอข้อเรียกร้องต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ผ่านหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพอุตสาหกรรมบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ในประเทศไทย” เพื่อที่จะสร้างความร่วมมือเชิงนโยบาย หาแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต โดยมีผู้แทนภาครัฐ นักวิจัย ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน เข้าร่วมกิจกรรมนี้
ทั้งนี้ ในเวทีนี้ผู้ร่วมอภิปรายได้สะท้อนถึงสถานการณ์ภาพรวม “อุตสาหกรรมบริการเรียกรถในไทย”โดยสังเขปมีว่า… ขณะนี้ เต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง แม้อุตสาหกรรมนี้จะพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ส่งเสริมภาคท่องเที่ยว ตลอดจนเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้ที่สำคัญในยุคเศรษฐกิจแบบ Gig Economy ซึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ในทางกลับกันก็อาจเป็นปัจจัยก่อเกิดแรงเสียดทานรุนแรง ทั้งมิติกฎระเบียบที่ปรับตัวตามไม่ทัน จนถึงทำให้ “เกิดความขัดแย้ง” ระหว่างผู้ให้บริการแบบดั้งเดิมกับแบบใหม่…
ภายใต้ “สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง”

และนอกจากภาพกว้างของ “อุตสาหกรรมบริการเรียกรถในไทย” ที่ผู้ร่วมอภิปรายได้สะท้อนไว้แล้ว ก็ยังมีการเผยตัวเลขที่น่าสนใจ เริ่มจาก สุภัทธา เนียมวณิชกุล หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ Bolt ประเทศไทย ที่ระบุไว้ว่า… ตั้งแต่ปี 2556 อุตสาหกรรมเรียกรถผ่านแอปฯ ของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก 11 ราย ที่ให้บริการประชาชนในกว่า 60 เมืองทั่วประเทศ ซึ่งสร้างรายได้ให้ผู้ขับขี่กว่า 500,000 คน และสามารถสร้างรายได้จากภาษีให้รัฐได้ปีละกว่า 33 ล้านบาท โดยยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวเนื่องจากอุตสาหกรรมรูปแบบนี้
“จากตัวเลขดังกล่าว สะท้อนว่า…อุตสาหกรรมนี้ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ สู่การเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของอุตสาหกรรมนี้ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม” …นี่เป็นประเด็นที่ผู้ร่วมเวทีรายนี้ได้มีการระบุไว้
ขณะที่ทาง “ผู้ให้บริการ” เรียกรถผ่านแอปฯ นั้นมองว่า… แม้อุตสาหกรรมนี้ก็มีส่วนสำคัญมากในการเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กลับพบข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ที่ยังคงไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมนี้ต้องพบกับอุปสรรค โดย อรรถพล คล้ายพยัฆ ตัวแทนกลุ่ม “ผู้ขับขี่” ก็สะท้อนจากประสบการณ์ไว้ว่า… “อุปสรรคใหญ่” ตอนนี้คือ “การเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะขั้นตอนที่ซับซ้อน” ตั้งแต่การจดทะเบียนรถสาธารณะ ค่าเบี้ยประกันภัยที่สูงมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการพาร์ตไทม์ รวมถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการขอเอกสารประกอบจากบริษัทลีซซิ่ง
“อยากให้รัฐพิจารณานโยบายและกฎหมายจากประสบการณ์จริงของผู้ให้บริการ กับหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งรีบเกินไป เพราะเราเองก็อยากปฏิบัติตามกฎหมาย และอยากทำอาชีพอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นกัน”…นี่เป็นข้อเสนอให้รัฐพิจารณา จากผู้ให้บริการตัวจริง ที่ได้มีการสะท้อนไว้ในเวทีการประชุมด้านบริการเรียกรถผ่านแอปฯ
ส่วนใน “มิตินโยบายสาธารณะ” นั้น ทาง ดร.สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุไว้ว่า… ผลการศึกษาปี 2567 ของสถาบันฯ พบว่า… ปัจจุบันคนกรุงเทพฯ และพื้นที่ปริมณฑล ร้อยละ 40 ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ซึ่งรายได้รวมของแพลตฟอร์มจะเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท ในปี 2571 ดังนั้นจึง จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรม โดยเฉพาะการทำผ่านกลไก regulatory sandbox และการแบ่งปันข้อมูล (data-sharing) เพื่อให้เกิดนโยบายที่เหมาะสมและยืดหยุ่นต่อการเกิดของนวัตกรรม
ทั้งนี้ ดร.สลิลธร ยังมีการเสนอแนะไว้ว่า… ในเชิงนโยบายเพื่อลดปัญหาและขจัดอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมนี้ ส่วนตัวมีข้อเสนอหลัก ๆ ที่ภาครัฐควรทำ ดังต่อไปนี้… 1.ขยายการให้บริการออกใบอนุญาตขับรถสาธารณะในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง, 2.สนับสนุนผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับผู้ขับขี่พาร์ตไทม์ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในระบบ, 3.ปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะที่ให้บริการผ่านแอปฯ ให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น …นี่ก็เป็นข้อเสนอแนะที่ทางนักวิจัย TDRI เสนอถึงภาครัฐ ซึ่งก็มีประเด็น “น่าคิด” น่าพิจารณา…
ก็ “รอดูความชัดเจนเพื่อแก้ปัญหา”
ทั้ง “บริการแบบดั้งเดิม+แบบใหม่”
ที่ “แบบใดก็เกี่ยวพันผู้ใช้บริการ”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์