หลายคนมักจะมองว่า การประกวดความงามเป็นการสร้างบุคคลต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ เราถึงเห็นเวทีระดับโลก ไปจนถึงเวทีจังหวัด เงื่อนไขยุบยับ หลายคนก็มองว่า การประกวดเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่ต้องหาสปอนเซอร์ – ขายของ ( ซึ่งไม่ใช่กรณีปักตะกร้า แต่เป็นพรีเซนเตอร์แล้วสินค้าขายดี ) การหาสปอนเซอร์มีทั้งของกอง และผู้ประกวดหลายๆ คน ในยุคนี้คลินิกความงามและอาหารเสริมเยอะมาก เสื้อผ้า-ชุดว่ายน้ำอีก หรือกระทั่งครูสอนบุคลิกภาพ ..สปอนเซอร์ ก็สนับสนุนเป็นของบ้าง เงินบ้าง มันก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ยังมีหลายคนที่มีความคิดมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือ การประกวดความงามมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเซกส์ และให้“ผู้ใหญ่” มาชอปเด็ก แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี ที่วันนี้ การประกวดนางงามพัฒนามาเป็นการสร้างโมเดล นางงามบางคนอาจมีโครงการรณรงค์ที่ทำเพื่อสังคมจนดัง กลายเป็นโมเดลในด้านนั้น ..ที่ยาวนานจนกลายเป็นภาพติดตัว ก็คงไม่พ้น “ปุ๋ย”ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ที่คำว่า “ปุ๋ยรักเด็ก” ยังถูกนำมาพูดถึงจนวันนี้

ในส่วนเวทีผู้ชายหลังๆ ก็มีเยอะขึ้น แต่ดูเหมือนลักษณะจะขายความเป็นนักกีฬา นายแบบ ความสุขภาพดี หรือไม่ก็หาประเด็นอื่นมาเป็นจุดขาย เช่น ความเป็นหนุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ..ในการประกวดแต่ละครั้ง แน่นอนว่า ผู้เข้าประกวดคงคาดหวัง“มง” คือความเป็นผู้ชนะ เพื่อนำไปต่อยอดอะไรในชีวิต  ช่วงหลังๆ  คุณสมบัติของผู้เข้าประกวดก็สูงขึ้น คนในสายงานวิชาการ ซึ่งภาพลักษณ์ “ดูไปกันไม่ได้” กับการประกวด ก็มาลงเวทีความงามมากขึ้น ถ้าเป็นคนในสายวิชาการมาลงประกวด เขามีความเห็นและเป้าหมายการประกวดอย่างไร

มีโอกาสพูดคุยกับ “ดร.อาร์ต”ศุภอัฑฒ์  สัตยเทวา ซึ่งในวันนี้ เขาคือผู้เข้าประกวด Mr Internation Thailand ประจำปี 2025 ดร.อาร์ตชอบศึกษาคน มีความสุขกับการได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ เพราะเขาเชื่อว่าประสบการณ์แต่ละอย่างนำมาพัฒนาตัวเองได้ และใช้ในหลักสูตรการสอนของเขาได้ในฐานะอาจารย์พิเศษ  

“ถ้าพูดถึงการประกวด หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ หรือพยายามที่จะหาแพลตฟอร์มให้ตัวเองให้มีรายได้มากขึ้น หรือมีช่องทางในการต่อยอดความเป็น Business Man ของตัวเอง ซึ่งการประกวดมันก็มีภาพนี้อยู่ เพราะอย่างที่ว่าคือ มันก็คือธุรกิจ  แต่สำหรับผม ที่เข้ามาประกวดเพราะต้องการ ที่จะใช้เสียงของตัวเองให้มีประโยชน์มากขึ้น อาจจะฟังดูเหมือนคำตอบของนางงามจ๋าๆ เลย แต่ผมอยากจะใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะตอนนี้เราเองอายุก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เรามีความมั่นคงทางด้านธุรกิจ  มีความมั่นคงทางด้านการเงิน หน้าที่การงานพอสมควร จึงอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์มากขึ้น”

เขามองว่า การที่ประกวดต่างๆ พัฒนาขึ้นเป็นการสร้างโรลโมเดล จึงเป็นพื้นที่ที่มากกว่าเชิงพาณิชย์ และมันเปิดโอกาสให้ผู้ประกวดพัฒนาบุคลิกภาพให้โดดเด่น  เวทีจะเป็นพื้นที่แรกที่ให้โอกาสสื่อสารสิ่งที่อยากทำไปสู่สาธารณะชน และมันสามารถต่อยอดได้  “ผมเคยดูนางงามแต่เด็กนะ และเห็นว่า วันนี้หลายคนเขายังเป็นแรงบันดาลใจในด้านดี”

แต่ทำไมต้องนำเสนอตัวตนด้วยเวทีประกวด “จากประสบการณ์ตรงเลย เช่น ผมอยากจะจัดอบรม หรือมีงานวิจัยที่เราต้องการที่จะให้โรงเรียนหรือหน่วยงานต่างๆ ได้ลองนำผลงานของเราไปใช้ปรากฏว่า มัน contract  ( ทำสัญญากัน ) ยาก เป็นเพราะเขาไม่รู้จักเรา จึงคิดว่าถ้าเราเป็นที่รู้จักในวงสังคมมากขึ้น การที่เราจะไปเสนอตัวเองช่วยเหลือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมในเรื่องของสุขภาพจิต หรือการช่วยเหลือด้านการเรียนการสอนเองซึ่งผมก็จบครูมา ( ครุศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ) ก็ทำได้ทั้งสอนเด็กทั้งครู การที่เราเข้ามาประกวด หรือได้รับการดำรงตำแหน่งต่างๆ มันจะช่วย ผลักดันให้เราเข้าไปช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น”

เมื่อถามว่า ในบรรดาเวทีประกวดของผู้ชาย เคยเห็นแบบใดบ้าง สร้างคุณค่าอะไรให้สังคม ดร.อาร์ตตอบว่า เวทีผู้ชายแกรนด์สแลม ( เวทีใหญ่ ) ก็มีบุคลิกต่างกัน  “แกรนด์สแลมของผู้ชาย คือ Mr Global และ Mr International Thailand มี Man hunts  และก็มี Mr Supranational ,  Mr World  ลักษณะที่ต่างกัน อย่าง  Mr World คือมีโครงการด้านการบริจาค  ต้องรณรงค์ในเรื่องสาธารณกุศล  คนที่ชนะก็จะต้องเอาเงินรางวัลไปสนับสนุนโครงการที่ตัวเองอยากทำ  หรืออย่างเวที Mister Global จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่ผู้ประกวดต้องเข้าไปเรียนรู และใช้ตัวตนเรียกร้องแก้ปัญหาต่างๆ เช่นโลกร้อน  ส่วน เวที Mr International Thailand เป็นเวทีที่สร้างแรงบันดาลใจในเรื่องของการเป็นสุภาพบุรุษ สร้างพลังความเป็นหนุ่มนักธุรกิจ  ความเป็นผู้ใหญ่ เผชิญสิ่งต่างๆ ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง”

เมื่อถามถึงประเด็นที่ยังคงเป็นภาพจำ ภาพความคิด แม้ว่า บริบทของการประกวดเปลี่ยนไปแล้ว นั่นคือ การโดนมองเรื่องการเปิดเผยตัวเอง การเป็นวัตถุทางเพศ ดร.อาร์ตตอบว่า  “มองว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องปัจเจก นั่นคือแล้วแต่บางคนจะคิด ผมไม่เคยมองผู้เข้าประกวดเป็น sex object นะ ผมมองว่า  การเดินในรอบชุดว่ายน้ำมันเป็นการโชว์วินัย อยู่แล้วว่าการจะมีหุ่นแบบนั้นได้มันต้องสุดๆ จริงๆ ต้องมีวินัย ทั้งการกิน การออกกำลังกาย และการกรูมมิ่งตัวเอง มันหนักหนาจริงๆ เราก็มองสิ่งเหล่านั้นเป็นความมีระเบียบวินัย ความเป็นผลงานที่เราแบบทำมาด้วยตัวเอง  อยากให้เปลี่ยนมามองรูปร่างในฐานะสร้างแรงบันดาลใจ เสริมสุขภาพ  ถ้าเวทีจะหลีกเลี่ยงความเป็น sex object เราอาจจะต้องให้คุณค่า สร้างผู้ชนะที่เป็นต้นแบบ ที่ไม่ใช่แค่ความมีหุ่นดี แต่ต้องมีความกล้าพูด กล้าเป็นผู้นำเป็น leadership ในด้านต่างๆ ครบ  การที่เวทีไหนจะถูกมองเป็นอย่างไรส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้ชนะเป็นหลัก”

“ส่วนตัวผม สิ่งที่อยากพูดถึง สื่อสารให้คนหันมามอง คือ ความเห็นอกเห็นใจ ( empathy ) กัน เพราะปัจจุบันสังคมเปิดกว้างมีสื่อโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย  แต่บางคน กลับละเลยสิ่งเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นเรื่องของการพูดขอบคุณ การทักทาย สมมุติว่ามีคนมาแสดงความเห็นอะไรก็ตามที่ส่งกำลังใจให้เรา เราแค่คอมเมนท์ขอบคุณไป มันก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว  ผมเคยทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง empathy มาโดยตรง  การมี empathy ทำให้เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เช่น เรามองคนเรื่องการกระทำ เรื่องวิธีคิด แต่เราไม่ตัดสิน จะพยายามหาสาเหตุของสิ่งที่เขาทำไป  เราคิดด้วยพื้นฐาน ว่าคงไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาแล้วอยากทำไม่ดี แต่อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้คนๆ นี้ทำสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  ถ้าแต่ละคนมี empathy ก็จะมองกันด้วยความเข้าใจมากขึ้นและจะส่งผลดีต่อภาพรวมในสังคม”

“สิ่งที่อยากจะบอกกับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวงการประกวดหรือไม่ก็ตามอยากให้ทุกคนมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าการที่คนคนหนึ่งลุกขึ้นมาทำอะไร ลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเอง ลุกขึ้นมาก่ออาชญากรรม หรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างที่อาจจะอยู่นอกเหนือจากมาตรฐานของสังคม เขามีแรงผลักดันอะไร อยากให้ทุกคนมองทุกคนด้วยความเข้าใจก่อนที่จะตัดสินคนอื่น แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่า เราจะอยู่ร่วมกับสังคมในปัจจุบันนี้ได้ง่ายขึ้น”

 ในวันนี้ ที่ประชาชน องค์กรให้ความสนใจเรื่อง SDGs ( Sustainable Development Goals เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน  ) ประกอบกับความสนใจส่วนตัว จากที่จบครุศาสตร์มา  ดร.อาร์ตมองว่า สิ่งที่ควรสื่อสารตั้งแต่ระดับประเทศ ไปถึงระดับโลก คือการพัฒนาการศึกษา “เราเห็นปัญหาต่างๆ มากมาย ผมเคยไปเข้าค่ายครูอาสาเริ่มต้นตั้งแต่ผู้ปกครองนักเรียน ถ้าเป็นผู้ปกครองนักเรียนที่อยู่ในชนบท ตอนนี้หลายคนอาจจะยังไม่เชื่อ  แต่เขายังไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องส่งลูกเขาเรียนในเมื่อบ้านของเขาก็มีอาชีพรองรับอยู่แล้ว เช่นสมมุติว่า บ้านทำสวน ทำนาเขา เลยคิดว่าลูกของเขาไม่จำเป็นต้องเรียนเลย เพราะต่อให้ไปเรียนแล้วจบมา ถึงอย่างไรก็มาทำนาต่อจากพ่อแม่อยู่ดี เขาเลยไม่เห็นความสำคัญตรงนี้”

“การขาดแคลนการศึกษา นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ  ตราบใดก็ตามที่การศึกษายังไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับคนทุกระดับได้และตามความสนใจ  ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือความเหลื่อมล้ำทางรายได้ก็คงไม่มีทางหายไป เพราะฉะนั้นการศึกษาคือกุญแจที่จะไขไปสู่การแก้ปัญหาทุกอย่างอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐควรจะให้ความสำคัญทางด้านนี้” ดร.อาร์ตว่า ที่สำคัญคือ การสร้างบุคลากร สร้างความตระหนักให้ผู้ปกครอง  ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการศึกษา รัฐควรเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่นำพาประเทศในอนาคต

ดร.อาร์ตทิ้งท้ายการสนทนานี้ว่า “ แก่นแท้ของการประกวดทุกเวทีคือการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคม ไม่ว่าปัจจุบันจะมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าผู้เข้าประกวดรู้จักคืนกลับให้กับสังคม  เรามีเสียง เรามีเงิน เรามีรายได้  นอกจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้ชนะ เราอาจจะใช้เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่จะคืนกลับให้กับสังคม เช่น เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ ทำ tiktok หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่งต่อแรงบันดาลใจเหล่านี้ ให้กับเยาวชน ให้กับผู้ชม  วงการการประกวดในบ้านเรา อยู่ในขั้นที่ได้รับความนิยม ในตอนนี้ก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งดีๆ คืนกับสังคม”

เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ “เมื่อเราได้รับแสง ได้รับความนิยมจากสังคม เราควรทำอะไรตอบแทนบ้าง”  เรื่องการส่งต่อความเป็นบุคคลตัวอย่าง ก็ยกระดับการประกวดได้  ในวันที่การประกวดความงามตื่นตัวเรื่องความเป็นโรลโมเดล อาจมีสักเวทีไหนหยิบวาระทางสังคมขึ้นมาสักเรื่อง รณรงค์ให้แก้ไขหรือสร้างแรงบันดาลใจก็ได้.

////////////////

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่