ช่วงสิ้นปีเวียนมาครบอีกครั้งหนึ่งแล้ว งานนี้ก่อนที่ทุกคนจะได้หยุดพักผ่อนและใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวในช่วงสิ้นปีแล้ว อีกหนึ่งเทศกาลและวันสำคัญที่คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมากและเป็นอีกหนึ่งวันที่หลายคนจะได้พบปะเจอหน้าคนในครอบครัว และทำกิจกรรมร่วมกันก็คือ วันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) นั่นเอง

โดยวันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” จะพาทุกคนไปรู้จักที่มาที่ไปและความแตกต่างของวันนี้กับวัน “คริสต์มาส (Christmas)” กัน ไปดูกันเลยจ้า

วันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) ตามวัฒนธรรมตะวันตกโดยทั่วไปคือวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี ตามระบบปฏิทินสมัยใหม่ ความหมายจริงคือ เย็นแรกของวันคริสต์มาส ซึ่งมีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึง การประสูติของพระเยซู เหตุผลที่ คริสต์มาส เริ่มต้นในตอนเย็นของวันคริสต์มาสอีฟ เพราะธรรมเนียมการนับปีของคริสเตียน วันจะเริ่มต้นเมื่อพระอาทิตย์ตกตามเรื่องราวในปฐมกาล เกิดความสว่างกับความมืด คือวันที่ 1 นั่นเอง

นอกจากนี้ในคืนก่อนวันนี้จะมีงานแครอลลิง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดง ร้องเพลง และในวันที่ 25 ธันวาคม ก็จะมีการเฉลิมฉลองกันตามบ้านเรือน และถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการเยี่ยมเยียนระหว่างญาติพี่น้อง ส่วนในตอนกลางคืนทุกคนจะพร้อมหน้าเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและอาหารมื้อสำคัญบนโต๊ะนั่นก็คือ ไก่งวง

โดยในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้หน้าเตาผิง เพราะเชื่อว่าซานต้าจะปีนลงมาตามปล่องไฟ และเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้ พอตอนเช้า เด็กๆ จะรีบตื่นมาตรวจถุงเท้าของตัวเองว่ามีของขวัญจากซานต้าหรือไม่ ต้นกำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานหนึ่งของนักบุญนิโคลัส กล่าวกันว่า ท่านมีน้องสาวสามคน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท (บ้างก็ว่าหญิงสาวสามคนนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน) หญิงสาวทั้งสามยากจนมากจนคิดขายตัว พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าวจึงคิดช่วยเหลือ คืนหนึ่งก่อนวันคริสต์มาสท่านจึงเดินทางกลับไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ ปรากฏว่าเหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลับกลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ สาวทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทอง ซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี

เสียงระฆังที่ถูกดังขึ้นในตอนเช้าของ วันคริสต์มาส นั้นถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการกำเนิดของพระเยซู ตามตำนานได้เล่าไว้ว่า เสียงระฆังได้ดังอยู่นานนับชั่วโมงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสอีฟ การตีระฆังดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดพลังความมืดก่อนที่ผู้ช่วยในการไถ่บาปจะถือกำเนิดขึ้น และในเวลาเที่ยงคืน เสียงกึกก้องของระฆังได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงแห่งความสุขเสียงของระฆังนั้นยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะตีระฆังเพื่อประกาศให้รู้ถึงการจากไปของผู้ที่ล่วงลับ ยังถือเป็นการบอกถึงการตายของปิศาจ (devil) ที่ถูกพาขึ้นมาโดยการกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า ระฆังของโบสถ์ยังรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ ‘the Old Lad’s Passing bell‘ ซึ่ง Old Lad คือคำสุภาพที่ใช้เรียกซาตาน เมื่อเสียงระฆังดังนั้นยังถือเป็นการขับไล่ภูตผีวิญญาณร้ายที่จะหนีให้ห่างจากเสียงทุกเสียงอีกด้วย

สำหรับระฆังคริสต์มาสนั้นมีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน โดยเราอาจจะได้ยินเสียงในตอนเช้าของวันคริสต์มาส นอกจากนี้ยังถูกนำไปประดับตกแต่งในการ์ดวันคริสต์มาสและบนต้นคริสต์มาสด้วย เหล่าผู้เฉลิมฉลองจะตีระฆังเหล่านี้เพื่อป่าวประกาศถึงงานรื่นเริง เหมือนกับที่ Father Christmas หรือ ซันตาคลอส ทำตอนลากรถเลื่อนเพื่อแจกของขวัญให้กับเด็กๆ

ส่วนความแตกต่างของ วันคริสต์มาสอีฟ และวันคริสต์มาส นั้นก็คือ วันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) ในวันนี้ก็เริ่มมีการเฉลิมฉลองกันแล้ว ซึ่งเราคนไทยอาจจะไม่อินกับการฉลองเทศกาลนี้สักเท่าไหร่ เพราะประเทศเราเป็นเมืองพุทธ แต่ในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นฝั่งสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป ก็จะเริ่มเฉลิมฉลองกันตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 24 กันแล้ว การฉลองคริสต์มาสอีฟ นั้นมีสาเหตุมาจากประเพณีดั้งเดิม ที่ทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวยิว ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพิธีกรรมต่างๆ ในศาสนาคริสต์ และประเพณีนั้นก็ได้ทำสืบต่อกันมา อีกทั้งคำสอนในพระคัมภีร์ จากหนังสือปฐมกาลที่ได้กล่าวถึงการสร้างโลกไว้ว่า วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างกลางวัน และกลางคืน ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองคืนแรกที่พระผู้ไถ่ หรือพระเยซูจะประสูติขึ้นมา ก็เลยมีการเฉลิมฉลองเฝ้ารอการบังเกิดของพระเยซู ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคมนั่นเอง

ส่วนวันคริสต์มาส (Christmas Day) ความสำคัญของวันคริสต์มาสคือ วันเฉลิมฉลองการบังเกิดมาพระเยซูคริสต์ เนื่องจากก็ไม่มีหนังสือเล่มไหนบอกชัดว่า พระเยซูเกิดมาเวลาใด จะเป็นเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 พอดี หรือจะเป็นช่วงหลังเที่ยงคืน ซึ่งก็เข้าสู่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 25 แล้ว เลยถือเอาเช้าวันที่ 25 เป็นชั่วโมงเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และมีการเฉลิมฉลองกันในหลายๆประเทศทั่วโลกอีกด้วย