หลังจากต้องทนทุกข์ ชอกช้ำระกำทรวง!! จากวิกฤติไวรัสโควิด เสียทั้งเวลา ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน มานานกว่า 2 ปี ใครหลายคนต่างหวังว่าเมื่อขึ้นศักราชใหม่!! ควรเป็นปีแห่งการเริ่มต้น มีอะไรดี ๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้น..ในโอกาสที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ทีม ’เศรษฐกิจเดลินิวส์“ ขอประมวล ’ข่าวดี“ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน ’ปีเสือ“ มาเติมพลังบวกให้กับคนไทยทุกคน

ศก.สดใสมีแจกสะบัด

เริ่มจาก…ปัญหา “ปากท้อง” คนไทยทั้งประเทศ ที่แสนลำบากยากเข็ญมานาน ซึ่งในปีเสือนี้ ภาครัฐต่างอัดสารพัดมาตรการเข้าใส่ เพราะหวังให้เศรษฐกิจก้าวเดินต่อไปได้ หลายฝ่ายตั้งเป้าหมายว่าเศรษฐกิจไทยในปี 65 ฟื้นตัวได้แน่นอน หลังผ่านจุดต่ำสุดมา
แล้ว อย่างน้อยเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 4% ด้วยซ้ำ จึงกลายเป็นความหวังของคนไทยและภาคธุรกิจ ที่กลับมาลืมตาอ้าปากกันได้อีกครั้ง โดยเฉพาะภาคการส่งออกยังคงเป็นพระเอก ส่วนการท่องเที่ยวแม้ยังไม่ดีเท่าก่อน แต่ดีขึ้นกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับเงินลงทุนของภาครัฐ จะมีเงินใส่เข้ามาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท

นอกจากแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ดีแล้ว ปีหน้าคนไทยยังคงได้รับข่าวดีจากมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพิ่มอีก แม้ไม่มากมายเหมือนเก่า แต่มีออกมาเอาใจกันเป็นระยะ ๆ เริ่มต้นจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ให้สิทธินำค่าใช้จ่ายซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดถึง 30,000 บาท เริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ. 65 ตามด้วย…มาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อคันละมากกว่า 1 แสนบาท ทั้งการยกเว้นภาษีสรรพสามิต พ่วงด้วยเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่จะเริ่มตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน

สำหรับคนที่มีรายได้ปานกลาง หรือรายได้น้อย ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะรัฐบาลเตรียมอัดฉีดเงินให้ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง เฟส 4” เบื้องต้น เริ่มช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 65 รวมถึงการเปิดลงทะเบียน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” รอบใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีรายได้น้อย ที่มีทรัพย์สินไม่เกินปีละ 1 แสนบาท และมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อคนไม่เกิน 1 แสนบาท เข้ามารับสวัสดิการลดแลกแจกแถมจากรัฐอย่างจุใจ เรียกว่า “แจกกัน” ซะอยากเกิดเป็นคนจนกันเลยทีเดียว

ปีทองสินค้าเกษตรไทย

ไม่ใช่เพียงแค่คนเมืองเท่านั้น บรรดาพี่น้องเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติ สามารถ “ยิ้ม” ได้อีก เพราะคาดว่าจะเป็น “ปีทอง” เพราะคาดกันว่า ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิด “ทรงตัว” ระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่ราคาพุ่งทะยานมาตั้งแต่ต้นปี 63 ส่วนราคาข้าว และยางพาราที่เผชิญราคาตกต่ำ ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือกเจ้าจากที่เคยอยู่ที่ตันละ 6,000-7,000 บาท แต่กรมการค้าภายในก็โชว์ผลงานพยุงราคาจนปลายปี 64 ดันราคาสูงเกิน 8,000 บาทต่อตัน

นอกจากนี้ ในส่วนของ “การค้าการส่งออก” ยังเป็นพระเอกที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อได้ปี 65 หลังจากปี 64 เติบโต 15-16% ทุบเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างราบคาบ โดยในปี 65 สินค้าที่เป็น “พระเอก” ช่วยผลักดันให้ขยายตัว ยังเป็นกลุ่มอาหาร สินค้าเกษตร รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ที่สำคัญไทยยังได้อานิสงส์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ซึ่งสมาชิก อาร์เซ็ป จะยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทยถึง 39,366 รายการ โดยลดภาษีเหลือ 0% ทันทีถึง 29,891 รายการ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป ช่วยสร้างแต้มต่อให้กับไทยอย่างมาก

เปิดประเทศรับต่างชาติ

ไม่ใช่แค่ภาคการค้า การส่งออกเท่านั้น ในภาคการท่องเที่ยวและบริการ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า และคาดจะฟื้นตัวได้เช่นกัน หลังจากโดนโควิดเล่นงานยาวนาน จนบริษัททัวร์ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหารเจ๊งกันระนาว ดังนั้น ในปี 65 เมื่อรัฐบาลสั่ง “เปิดประเทศ” แล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่ภาคบริการ และท่องเที่ยวจะลืมตาอ้าปากได้อีกสักครั้ง

เห็นได้จาก รัฐบาลพยายามผลักดันการเปิดประเทศมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจาก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ของจังหวัดภูเก็ต 1 ก.ค. 64 ต่อด้วยเปิดพื้นที่นำร่อง “สมุยพลัสโมเดล” ทั้งเกาะสมุย เกาะเต่า เกาะ พะงัน และเกาะพีพี จากนั้นเมื่อสถานการณ์เข้ารูปเข้าร่าง รัฐบาลก็ได้ประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย. 64 โดยกำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นโซนสีฟ้าแยกออกมาจากปกติ และเพิ่มพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวอีกหลายจังหวัด

ดังนั้น โมเมนตัมของการผ่อนคลายเปิดการท่องเที่ยวยังจะมีต่อเนื่องในปี 65 ทำให้เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และแม้จะมีโอมิครอนระบาด แต่เชื่อว่าจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราวไม่นานนัก ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มองว่ารายได้ของการท่องเที่ยวไทยปี 65 จะอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท

หมดห่วงได้เรื่องหนี้!

วกกลับมาเรื่องใกล้ตัวชาวบ้านกันบ้าง ข่าวดีสำหรับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ และหนี้ ที่ครั้งนี้เป็นเรื่องดีของบรรดาลูกหนี้ที่ได้รับการดูแล
กันต่อ หลังสมาคมธนาคารไทยประกาศลั่นว่า ปี 65 พร้อมนำพามูลหนี้ทั้ง 2 ล้านล้านบาท ให้อยู่รอดพ้นจากหน้าผาเอ็นพีแอล เพื่อไม่ให้ตกชั้นกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ หลังสิ้นสุดมาตรการระยะสั้น พักหนี้, ลดค่างวด หรือยืดขยายระยะเวลาผ่อนชำระเมื่อสิ้นปี 64

สอดคล้องกับแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นช่วยเหลือแบบปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวอย่างยั่งยืน คือ การสนับสนุนให้ลูกหนี้ที่มีหนี้หลายทางหลายสถาบันการเงินมารวมหนี้เอาไว้ที่เดียวกัน โดยใช้หลักประกันของที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งประโยชน์คือ ได้ดอกเบี้ยที่ถูก และจ่ายหนี้ทางเดียว เช่นเดียวกับการรีไฟแนนซ์ ที่ทำให้ได้รับดอกเบี้ยถูกลงกว่าเดิม มีเงื่อนไข
ที่จูงใจเพื่อลดภาระทางด้านการเงิน ในช่วงที่คนไทยกำลังลำบากจากโควิด

ไม่เพียงเท่านี้ หากใครที่คิดว่าไปไม่รอด ขาดรายได้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ได้เหมือนเดิม บรรดาแบงก์พาณิชย์ สถาบันการเงิน ยังเปิดโอกาสให้เข้ามาติดต่อเพื่อหาทางออกร่วมกัน ถึงแม้ไม่มีมาตรการพักหนี้ที่ออกมาให้เหมือนก่อน แต่มีโปรแกรมช่วยเหลืออื่น ๆ  และยังคงสถานะจัดชั้นหนี้ไปตลอดทั้งปี 65 ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับคนที่กำลังเพิ่งฟื้น หรือมีหนี้เสียท่วมหัว ให้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

2 ก.ม.คุมธุรกิจดิจิทัล

ข้ามไปฝั่งโลกดิจิทัล หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในปี 65 จะมีกฎหมายสำคัญในแวดวงไอทีออกมา 2 ฉบับ ที่มีผลต่อผู้ประกอบการ และชีวิตประชาชนส่วนรวมอย่างมาก ฉบับแรกคือ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. .… ซึ่งจะประกาศใช้ต้นปี 65 เพื่อควบคุมกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งหากใครต้องการเข้ามาประกอบกิจการแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ในไทย จะต้องแจ้งให้ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือเอ็ตด้า ทราบก่อน โดยเฉพาะผู้ประกอบการต่างประเทศจะต้องมีตัวแทนหรือแต่งตั้งตัวแทนในประเทศ ที่ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการแทนเพื่อให้สามารถติดต่อ ประสานงานหรือขอข้อมูล ในกรณีที่เกิดปัญหาจากการใช้บริการของแพลตฟอร์มได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น

อีกฉบับ! เป็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562  หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ พีดีพีเอ (PDPA) จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบวันที่ 1 มิ.ย. 65 หลังจากเลื่อนมาแล้ว  2  ปี เพราะติดโควิด และเอกชนไม่พร้อม เนื่องจากกฎหมายมีรายละเอียดซับซ้อนและมีบทลงโทษทั้งความรับผิดทางแพ่ง และโทษทางปกครอง และอาญา อย่างไรก็ตามเมื่อเดือน ธ.ค. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไปแล้ว

ทั้งนี้จะครอบคลุมบริการ 7 ด้านที่เกี่ยวข้องกับประชาชน จำนวนมาก และมีผลกระทบสูง ทั้งด้านสาธารณสุข ที่มีโรงพยาบาลและร้านขายยา, ด้านการค้าปลีก และอี-คอมเมิร์ซ, ด้านการศึกษา, ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์, ด้านการท่องเที่ยว, ด้านอสังหาริมทรัพย์และการบริหารทรัพย์สิน และด้านหน่วยงานของรัฐ เพื่อเตรียมพร้อมขององค์กร ให้รู้ว่าตนเองต้องปฏิบัติอย่างไร เช่น เรื่องการเก็บและแยกข้อมูลส่วนบุคคล การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเมื่อกฎหมายบังคับใช้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มการดูแลข้อมูลของประชาชนได้ปลอดภัย และไม่ให้ถูกรบกวนได้มาก ยิ่งขึ้น

อาหารดิลิเวอรี่บูม

หันมาดูในเรื่องของแนวทางการประกอบอาชีพกันบ้าง โดยเทรนด์อาชีพที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในปี 65 เรียกว่างานนี้ต้องนำ “คำพระ” มาบอกว่า ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่นในปี 64 คนไทยต้องเผชิญวิกฤติโควิดอย่างหนักหน่วง แต่ยังมีบางธุรกิจที่สวนกระแสเอาตัวรอดได้แบบสบาย ๆ คือการขายสินค้าแบบ “ดิลิเวอรี่” ถือว่าเข้ามาช่วยพยุงยอดขายให้กับร้านอาหารทั้งน้อย ทั้งใหญ่ได้เป็นอย่างดี  และส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในช่องทางนี้เติบโตขึ้นเป็น 100% และแนวโน้มในปี 65 เชื่อว่ากระแสสินค้าดิลิเวอรี่ยังแรงดีไม่มีแผ่ว 

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าธุรกิจร้านอาหารปี 64 เติบโตได้ 1.4-2.6% ด้วยมูลค่ารวม 4.10–4.15 แสนล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจจัดส่งอาหาร มีมูลค่ารวมสูงถึง 5.31–5.58 หมื่นล้านบาท เติบโต 18.4–24.4% ซึ่งบทพิสูจน์เหล่านี้!! ทำให้กลุ่มธุรกิจร้านอาหารเนื้อหอมมากยิ่งขึ้น และมีผู้ประกอบการหลายรายที่เริ่มแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เข้ามาทำในสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารเพิ่มเรื่อย ๆ  เพราะอาหารเป็นสิ่งที่คนยังต้องกินทุกวัน ดังนั้น!! ในปี 65 หากใครคิดไม่ออก บอกไม่ถูกว่าจะทำธุรกิจ ประกอบอาชีพอะไรดี ลองหันไปที่ธุรกิจดิลิเวอรี่ได้ ทั้งเปิดร้านอาหารเอง หรือใครตกงานอยากเป็นไรเดอร์ก็สามารถเข้ามาแจมได้ไม่ผิดกติกา

คนไทยปลอดมลพิษแน่

ไม่เพียงแค่เรื่องราวของปากท้องเท่านั้น ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ในเรื่องของความปลอดภัย ก็ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน ซึ่งในปี 65 นี้ ภาคราชการอย่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ออกมาจัดระเบียบเรื่องการทิ้งกากอุตสาหกรรม ทั้งมีพิษและไม่มีพิษอย่างเข้มงวด รวมถึงขยายอายุความจาก 1 ปี เป็น 5 ปี เพื่อไม่ให้เหล่าโรงงานออกทิ้งเรี่ยราดจนกระทบต่อสุขภาพประชาชน ใครฝ่าฝืนโทษติดคุก 1 ปี รวมทั้งจะแก้ระเบียบเกี่ยวกับการเก็บสารเคมีใหม่ไว้แค่ปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช่เก็บเกินกว่าความจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุตามมา

ไม่ใช่แค่ดูให้ปลอดภัย กระทรวงอุตสาหกรรม ยังสั่งเร่งยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการสินค้าให้ได้มาตรฐาน โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) รับหน้าที่นี้ไปดู ซึ่งมีทั้งสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอนาคต เช่น สินค้าที่เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ เพราะหากไม่รีบเข้าไปดูแลออกมาตรฐานให้ทัน อาจทำให้สินค้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้าไทย จนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และทำลายสิ่งแวดล้อมได้

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องดี ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปี 65 นี้ ซึ่งน่าจะเป็นความหวังให้หลาย ๆ คน มีกำลังใจลุกขึ้นสู้และฝ่าฟันให้พ้นปีเสือไปได้!!.