ผ่านไปแล้วสำหรับศึกวัดพลังในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 9 หลักสี่-จตุจักร ซึ่งเป็นการชิมลางก่อนการเลือกตั้งใหญ่ที่อาจจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ จึงทำให้พรรคฝ่ายค้านตามจี้รัฐบาลให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่โดยเร็วเพราะดูจังหวะแล้วรัฐบาลกำลังเสียคะแนนนิยมอีกทั้งพรรคพลังประชารัฐเองก็แตกกันเอง ขณะที่ความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป.ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  

“ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงต้องมาสนทนากับ“พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์” รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผอ.การเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร ที่ทำให้ผลคะแนนจากการเลือกตั้งซ่อมพรรคก้าวไกลได้มาเป็นลำดับที่ 2 แถมยังชนะขาดในหน่วยพื้นที่ทหาร สะท้อนภาพการเมืองไทยในเวลานี้อย่างไรบ้างแล้วยุทธศาสตร์ต่อไปก้าวไกลจะเป็นของแสลงรัฐบาลเรือเหล็กหรือไม่   

โดย “พิจารณ์” เปิดฉากกล่าวว่า เป้าหมายของเราคือการลงเลือกตั้งเพื่อชนะ เราไม่ได้ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งเพียงเพื่อวัดกระแสของพรรค แต่เพื่อชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ได้ แต่ว่าพอลงไปดูในรายละเอียดยังสามารถที่จะพึงพอใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะผลการเลือกตั้งในพื้นที่หน่วยทหาร อย่างพื้นที่ กรมยุทธโยธาทหารบก และโรงเรียนช่างฝีมือทหาร ที่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เรามีสัดส่วนของคนที่มาเลือกพรรคก้าวไกล สูงขึ้นจากเดิมเมื่อปี 2562  และยังมีอีกหลายพื้นที่ ๆ เราเคยได้ที่ 3 แต่ครั้งนี้ได้ที่ 2 ดังนั้นในภาพรวมแม้ผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเดิมออกมาเลือกตั้ง 74 เปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้ออกมาใช้สิทธิ์ 52 เปอร์เซ็นต์ซึ่งลดลงจากเดิมแต่สัดส่วนที่เลือกพรรคก้าวไกลสูงขึ้น  

@แสดงว่านโยบายปฏิรูปกองทัพใช้ได้ผลในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ 

เราเชื่อว่านโยบายปฏิรูปกองทัพตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำให้กองทัพทันสมัย กองทัพเข้มแข็งมากขึ้น นำศักดิ์ศรีกลับมาให้กับกำลังพลและกองทัพ รวมถึงการดูแลสวัสดิภาพสวัสดิการของทหารโดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย เอาดอกผลที่เกิดจากธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ การเอาที่ราชพัสดุไปทำเชิงพาณิชย์แล้วก็มีดอกผลต่างๆ นั้น นโยบายของเราคือเอาดอกผลเหล่านี้คืนแผ่นดิน แล้วจัดสรรเป็นสวัสดิการที่เท่าเทียมและเป็นธรรมให้กับกำลังพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นผู้น้อย เห็นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเชื่อได้ว่านโยบายเหล่านี้มันตอบโจทย์และตรงใจกับกำลังผลส่วนใหญ่ 

ทั้งนี้นโยบายปฏิรูปกองทัพเป็นเรื่องเดียวกันกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นเรื่องเดียวกันกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน สิ่งที่เราต้องการปฏิรูปกองทัพเพื่อต้องการให้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งอยู่เหนือกองทัพอย่างแท้จริง หยุดวงจรการทำรัฐประหาร การสืบทอดอำนาจ เมื่อประเทศในระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปโดยไม่สะดุดหกล้มลงไปด้วยรัฐประหารทุกครั้ง เศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ จะทำอย่างไรให้งบประมาณกองทัพลดลงมาอยู่ในค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น รวมทั้งการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ต้องเกิดประโยชน์จริงๆ และทำให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศให้ได้  เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปดูแลเรื่องสวัสดิการปากท้องของประชาชนต่อไป   

@ พรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ยิ่งจะทำให้รัฐบาลไม่ยอมยุบสภา หรือนำไปสู่การรัฐประหารอีกหรือไม่  

เมื่อผลเลือกตั้งซ่อมออกมาแบบนี้แรกๆ ผมก็ค่อนข้างกังวล แต่ก็อาจจะเชื่อได้ในสิ่งที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ออกมาตอบทาง ส.ว. ถึงไทม์ไลน์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่จะมีขึ้นในปลายเดือน พ.ค. ส่วนการเลือกตั้งใหญ่ แน่นอนว่ารัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ก็พยายามอยู่ให้ครบเทอม แต่วิกฤตที่เขากำลังเจอคือวิกฤตศรัทธาของพี่น้องประชาชน ผลการเลือกตั้งซ่อมออกมาชัดมาก

จึงต้องไปถามพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย หรือประชาธิปัตย์ ว่ายังคงจะร่วมหัวจมท้ายอยู่หรือเปล่า ส่วนจะถึงขั้นมีการรัฐประหารหรือไม่ ผมมองไม่เห็นว่าอะไรจะเป็นเหตุ และนำมาสู่การทำรัฐประหาร เพราะปัญหามันชัดอยู่แล้วว่ารัฐบาลเองขาดทั้งเสถียรภาพ ประชุมสภาก็จะล่มหรือไม่ล่ม ขาดทั้งความเชื่อมั่นความศรัทธาของประชาชน ซึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุไปสู่การทำรัฐประหารได้  

“ส่วนเพื่อไทยหรือก้าวไกลอาจจะโดนยุบพรรคไปอีกหรือไม่ ถ้ายุบเพื่อไทยคะแนนก็มาก้าวไกล ถ้ายุบก้าวไกลคะแนนก็ไปเพื่อไทย ถ้ายุบทั้ง 2 พรรค ก็ยังมีพรรคอื่นที่รออยู่ ผมคิดว่าเกมการยุบพรรคกระสุนนี้มันด้านไปแล้ว มันใช้ไม่ได้แล้ว และยิ่งยุบพรรคคะแนนฝั่งประชาธิปไตย มันยิ่งจะมากกว่าเดิม”  

@จะนำกลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมามาปรับใช้กับการหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. อย่างไร  

ในส่วนของผู้ว่าฯ กทม. จากผลการสำรวจของเราคน กทม. เลือกในเรื่องของนโยบาย  ตัวบุคคลมีส่วน แต่นโยบายมีผลมากกว่า เราเชื่อว่านโยบายของพรรคก้าวไกล นโยบายที่กล้าชนกับปัญหา นโยบายที่จับต้องได้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากทม. ของพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งได้ เดี๋ยวแคมเปญของเราต่อจากนี้ก็จะเริ่มมีการเปิดนโยบายไปเรื่อยๆ เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา เรามีนโยบายหลายอย่าง ต้องบอกว่า 47 ปี ไม่เคยมีผู้ว่า กทม. คนไหนพูดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน  

ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่านายวิโรจน์ ไม่ได้ ใหม่ ชัด โดน ตามที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศนั้น สิ่งที่พรรคต้องทำงานให้หนักต่อจากนี้คือเรื่องของการสื่อสารสิ่งที่นายวิโรจน์จะทำ และนโยบายที่เราวางเอาไว้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ ผลโพล บอกอยู่แล้วว่าคนเลือกเพราะนโยบาย ซึ่งเราจะสื่อสารนโยบายให้ไปถึงประชาชนคนกทม. ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดให้เข้าถึงได้อย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อไป  และเชื่อว่าสิ่งที่เรานำเสนอความแตกต่างจากผู้สมัครรายอื่นๆ  

รวมถึงหากมีการเลือกตั้งใหญ่ จุดแข็งของเราตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ คือเราไม่ได้ทำนโยบายในลักษณะปะผุ แต่เราเน้นนโยบายไปที่โครงสร้างของปัญหา รอบนี้ผู้สมัครทั้งหมด ต้องเดินออกไปทำความเข้าใจกับประชาชน  ส่วนเรื่องการเลือกตั้งหากจะใช้บัตร 2 ใบ ถามว่าเรากังวลหรือไม่ ตอนนี้อยู่ในโหมดที่ต้องบอกว่า มาเลย จะเลือกแบบไหนก็มา พร้อมสู้ ทุกกติกา ไม่ได้มีความกังวลอะไร ผมคิดว่ามันเป็นโจทย์ที่เราต้องโฟกัสไปที่ ส.ส.เขต ทั่วประเทศ ต้องทำงานให้หนัก ลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจในเรื่องนโยบายของพรรค ขายตัวเองให้ได้