จากกรณีเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์จับทุจริตผู้ที่เข้ามารับบริการฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ หลังพบว่า มีบุคคลแฮกระบบผ่าน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเข้าร่วมลงทะเบียนบุคคลให้เข้ามารับวัคซีน นำโควตาไปขายสิทธิ โดยทำมาแล้ว 3 วัน วันละ 1,500 คน เจ้าหน้าที่สอบถามผู้ที่ซื้อสิทธิที่มาฉีดวัคซีน ยอมรับว่า มีการจ่ายค่าหัวถึงหัวละ 500-1,000 บาท ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 30 ก.ค. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผบก.รฟ. กล่าวว่า กรณีนี้ ทาง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดโดยเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน มีการทำกันเป็นกระบวนการ จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่เฉพาะด้านเข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวน โดยทาง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก.ตั้งคณะทำงานขึ้นมา โดยจะมีตำรวจรถไฟ บก.ปอท.และกองปราบปราม บูรณาการกำลังร่วมสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้นอกจากเสนอเรื่องให้ บช.ก.แล้ว ยังได้รายงานให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ทราบด้วย

พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวต่อว่า โดยหลังเกิดเรื่องได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องแล้วกว่า 20 ปาก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์ พนักงานบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์ และผู้ที่สวมสิทธิในการฉีดวัคซีน โดยเป็นการสอบปากคำเบื้องต้น รวมทั้งจะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบเพิ่มเติมอีก ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับใครแต่อย่างไร รวมทั้งยังไม่สามารถตอบได้ว่า กลุ่มผู้ต้องหาขบวนการนี้มีกี่คน ซึ่งเบื้องต้นได้ตีกรอบผู้กระทำความผิดว่าอาจเป็นบุคลากรภายในและภายนอก ที่ทำการกรอกข้อมูลสวมสิทธิวัคซีน ทั้งนี้ทาง บก.ปอท.จะทำการตรวจสอบพิสูจน์ทางเทคนิคเพื่อไขความกระจ่าง อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่า มีการลักลอบคีย์ข้อมูลนอกเวลาทำการ หลัง 18.00 น. โดยพบว่า มีการกรอกข้อมูลในห้วงเวลา 20.00-22.00 น. ในส่วนของยอดผู้สวมสิทธิเบื้องต้นพบว่า อาจมีมากกว่า 5,000-6,000 ราย ซึ่งในส่วนนี้อาจเกิดความเสียหายหลายล้านบาท

พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวด้วยว่า พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้เน้นย้ำสั่งการให้คลี่คลายข้อเท็จจริงโดยเร็วกรณีที่เกิดขึ้นพบว่า มีการกระทำในลักษณะกรอกข้อมูลสวมสิทธิฉีดวัคซีน จนนำมาสู่การขายสิทธิกัน ซึ่งพบว่ามีการขายสิทธิในราคา 500-1000 บาทต่อราย ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะประชาชนทุกคนควรมีสิทธิและเข้าถึงการฉีดวัคซีนอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้หลังเกิดเรื่องได้มีการเรียกผู้ให้บริการทั้งสามเครือข่ายมาประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุและในลักษณะนี้อีก

รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่พบความผิดปกติในระยะที่เริ่มปรับให้มีการวอล์กอิน ลงทะเบียนหน้าศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อ เจ้าหน้าที่ปิดรับการลงทะเบียนจากหน่วยงาน เหลือแค่กระทรวงการต่างประเทศ เพียงหน่วยงานเดียวเปิดให้ฉีดได้วันละ 300 คน ประกอบกับหลังช่วงที่มีการปรับระบบให้วอล์คอินลงทะเบียนหน้าศูนย์ และเปิดยูสเซอร์ให้อาสาสมัครมาช่วยลงทะเบียน แต่กลับพบว่าตัวเลขการนัดฉีด เพิ่มขึ้นจากเดิม 10-20 คน ต่อวัน จนกระทั่งช่วงวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีคนจำนวนมายืนรอกันที่บริเวณประตู 4 และพบตัวเลขผู้ลงทะเบียนมา 2,000 คน ทั้งที่ตัวเลขนัดหมายมีฉีดวัคซีนของกระทรวงการต่างประเทศแค่ 384 คน เท่านั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่เห็น ตัดสินใจไม่ยกเลิกการฉีดวัคซีน ปล่อยให้ทั้ง 2,000 คน เดินทางมาตามนัดหมาย ก่อนทำการคัดกรองบุคคลทำให้ทราบว่า มีการเรียกเก็บค่าหัวคิวซื้อโควต้าฉีดวัคซีน หัวละ 400-1,200 บาท รวมเป็นเงิน 120,000-360,000 บาท อย่างไรก็ตามได้ทำการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องทราบว่า มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทำหน้าที่ลงทะเบียนคนฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อ 19 คน ซึ่งเป็นคนดูแล 19 ยูสเซอร์ โดยสามารถระบุได้แน่ชัดว่า อาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวมาจากการที่ผู้ให้บริการเครือข่ายทรู ได้จ้างบริษัทย่อยมาช่วยจัดคิวลงทะเบียน ทำให้พบปัญหาเพียงค่ายเดียว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากพบว่า 19 คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะเข้าข่ายความผิดด้วย.