เมื่อวันที่ 22 ก.ค. เวลา 14.44 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน เป็นวันที่ 4 โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวผิดพลาด บกพร่องไร้ประสิทธิภาพ ไร้องค์ความรู้ และภูมิปัญญาไร้วุฒิภาวะ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม ไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือผู้นำประเทศ มีพฤติการณ์บริหารราชการแผ่นดินไม่สุจริตเที่ยงธรรม ฉ้อฉลเงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน ปรนเปรอแต่กองทัพเพื่อใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจของตนตอนปฏิวัติ ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่และความทุกข์ของประชาชน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 ส.ค.65 เหลือเวลาอีก 1 เดือน เพราะตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 นายกฯ จะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ มีการพูดกันว่าการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นมาจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านั้น จะนำไปรับนับรวมกันไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมาดูมาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บัญญัติว่าให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ หมายความว่าการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ส.ค.57 รวมกับการดำรงตำแหน่งหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 62 มีระยะเวลาติดต่อกัน แปลเป็นไทยคืออยู่ต่อไปไม่ได้หลังวันที่ 23 ส.ค.นี้ ใครจะดื้อจะด้านอะไรก็แล้ว แต่ก็ต้องว่ากันไป

ส่วนเนติบริกรอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างชัดเจนว่านายกฯ 8 ปี จะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เว้นแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ ถามว่าเพื่อนสมาชิกจะให้แก้หรือไม่ เพราะทุกคนมีแต่จะไล่ ไม่มีใครอยากให้แก้ นายวิษณุพูดแบบตรงไปตรงมา ดังนั้นวาระของนายกฯ ก็จะครบกำหนดในวันที่ 23 ส.ค. ถ้าท่านพยายามจะอยู่ต่อไปวิกฤติของประเทศจะเกิดขึ้นแน่ ตนเชื่อว่าประชาชนไม่มีใครยอมรับได้ เพราะจากการที่ลงพื้นที่ไปหาเสียง ทุกพื้นที่ไม่มีใครเอา พล.อ.ประยุทธ์ แม้แต่คนเดียว มีแต่ขับไล่ด่าทอต่อว่าตลอด

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยังฝืนจะเป็นนายกฯต่อไปวิกฤติประเทศจะเกิด และ พล.อ.ประยุทธ์ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถามว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าถึงวันนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมก็คงจะมีอะไรเกิดขึ้นให้ทุกคนได้เห็นและรับรู้กันในวันนั้น ถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องร่วมมือยกกันโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าฝ่ายรัฐบาลร่วมมือกัน แต่จะแจกกล้วยแค่ไหนตนไม่ทราบ หากวันที่ 23 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ลาออก ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เพราะเป็น ครม.ชุดเดียวกัน

ถ้าทหารเป็นนายกฯ ทำให้ประเทศไทยเจริญและเป็นประเทศมหาอำนาจไปแล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เป็นนายกฯ กู้เงินมาแล้ว 6 ล้านล้านบาท และขณะนี้ประเทศเป็นหนี้ 10 ล้านล้านบาท นอกจากนี้การจัดงบประมาณของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นต้องการสร้างรั้วมากมายให้แต่กองทัพและทหาร จนลืมประชาชนว่าจะมีกินมีใช้อย่างไร เมื่อไม่มีกินไม่มีใช้ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินจนเป็นหนี้ฆ่าตัวตาย งบประมาณกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 59-65 มีงบประมาณเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยนำไปก่อสร้างสิ่งที่ไม่จำเป็น ปล่อยให้เครือญาติเข้ามาประมูลงานก่อสร้างในกองทัพ ใช้เงินภาษีของประชาชนซื้อรถถัง เรือดำน้ำ เครื่องบิน เวลาซื้อก็ซื้อเครื่องมือสองทำให้ถึงตกบ่อย เพราะไม่มีมาตรฐาน ถามว่าทำไมต้องซื้อมือสอง เพราะราคาเป็นไปตามความพึงพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ตรวจสอบกันไม่ได้ จะมีเงินทอนเท่าไรก็ไม่สามารถตรวจสอบ สมอง พล.อ.ประยุทธ์ มีแต่ซื้อๆ ไม่คำนึงถึงประชาชนคนไทยว่าจะไม่กินกันหรือไม่ ถ้าเงินเป็นเงินตัวเองจะซื้อไปก็ไม่มีใครว่า แต่นี่คือภาษีของประชาชน แทนที่จะทำเพื่อปากท้องประชาชน หากซื้อมากเงินก็ออกนอกประเทศมาก

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า พี่น้องรากหญ้าลำบากทุกข์ยาก ปี 65 ใช้ภาษีของประชาชนไปซื้ออาวุธ โดยกองทัพบกใช้งบ 14,136 ล้านบาท กองทัพเรือ 11,860 ล้านบาท กองทัพอากาศ 9,600 ล้านบาท รวม 31,896 ล้านบาท ซื้อเรือดำน้ำก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร ทหารมีแต่สถานที่บำรุงบำเรอความสุขไม่ว่าจะสโมสรต่างๆ แถมยังแบ่งเป็นสโมสรชั้นสัญญาบัตรและสโมสรชั้นประทวนอีก ทุกกองทัพทุกค่ายมีแบบนี้ รวมกันทุกกองทัพมีสโมสรประมาณ 300 สโมสร ขณะที่ตำรวจมีเพียงหนึ่งสโมสรตำรวจที่ต้องหาเงินสร้างเอง