จากกรณีตำรวจกองปราบปราม บุกจับ ส.อ.เจษฎา หรือโบ๊ท อายุ 26 ปี อดีตทหารสังกัดค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 366/2565 ลงวันที่ 6 มิ.ย. 65 ข้อหา “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ฉ้อโกง และฉ้อโกงประชาชน” หลังก่อเหตุตระเวนเช่ารถยนต์หรูไปถึง 12 คัน ก่อนจำนำกับเต็นท์รถ มูลค่าความเสียหายประมาณ 76 ล้านบาท โดยทุกครั้งที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหามักจะอ้างว่านำไปให้ผู้บังคับบัญชาใช้งาน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เปิดเผยว่า ทุกครั้งที่ผู้ต้องหานำรถเช่าไปจำนำนั้น ก็มักนำภาพใบหน้าของตัวเองตัดต่อลงบัตรประชาชนผู้อื่น เพื่อให้ตรงกับข้อมูลของรถคันนั้นๆ แล้วนำไปขาย หรือจำนำ เงินที่ได้มา ผู้ต้องหาจะนำไปใช้จ่ายส่วนตัว บางครั้งจะนำมาชดใช้ให้กับเต็นท์รถต่างๆ เป็นการหมุนเวียนเงินไปเรื่อยๆ โดยกระทำลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ มีรถยนต์หรูเป็นจำนวนมากที่ถูกหลอกไป ความเสียหายน่าจะมากกว่า 100 ล้านบาท กระทั่งเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนตำรวจนครบาล 9 และ สน.ท่าข้าม เคยจับกุมผู้ต้องหา พร้อมกับเพื่อน คดีร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ขณะนำตัวฝากขังต่อศาลอาญาธนบุรี ปรากฏว่าผู้ต้องหายื่นขอประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราว ก่อนถูก สภ.กระทุ่มแบน อายัดตัวคดีทำลายทรัพย์สินของทางราชการเสียหายอีกด้วย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อด้วยว่า ขณะที่ผู้ต้องหายังรับราชการทหาร ได้ก่อเหตุฉ้อโกงเงินสวัสดิการ ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนพบว่าผิดจริงและพิจารณาโทษทางวินัย ลงทัณฑ์ขัง 30 วัน พร้อมให้ปลดออกจากราชการ ยังก่อเหตุหลบหนีออกจากกองรักษาการณ์ โดยมีบิดาขับรถเก๋งพาหนีไปได้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา จนเป็นข่าวโด่งดัง

บุกจับ ‘ส.อ.’ ตระเวนเช่ารถหรูอ้างใช้ส่งนาย ก่อนจำนำเต็นท์เสียหายกว่า 76 ล

ทบ.เร่งล่าตัวด่วน! ‘สิบเอก’ แหกคุกทหารสมุทรสาคร เผ่นลอยนวล

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อด้วยว่า ผู้ต้องหารายนี้ยังเคยหลอกเพื่อนร่วมงานลงทุนหุ้นกู้ของบริษัทแห่งหนึ่ง จนมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความที่ บก.ปอศ. ไปเมื่อ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้เสียหายระบุว่า ส.อ.เจษฎา อ้างว่าผลตอบแทนสูง ประกอบช่วงหลังเพื่อนๆ เห็นผู้ต้องหามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ขับรถเบนซ์ ใช้ชีวิตหรูหรา จึงหลงเชื่อนำเงินลงทุนด้วยเป็นจำนวนมาก คาดมีความเสียหายหลายสิบล้านบาทด้วย

นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบผู้ต้องหายังมีหมายจับศาลอาญาพระโขนง คดี “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” และหมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ คดี “ฉ้อโกง” อีกด้วย จากการสอบสวน ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ จึงส่งตัวให้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.