เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก ‘ซีทรู’ โพสต์ข้อความระบุว่า “พอได้ยินมาบ้าง แต่ก็คิดว่ามันจะมีแต่ในละคร แล้วก็ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับตัวเองจริงๆ” คำบอกเล่าจากคุณแม่ท่านหนึ่งถึงประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่หลังจากที่เธอเองมีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับ “ลูกเขย” บริษัทสื่อค่ายยักษ์ใหญ่


ต้องยอมรับว่าแอด เองก็ตัดสินใจอยู่พอสมควรว่าจะนำเอาเรื่องราวที่คุณแม่ท่านนี้มาบอกเล่าต่อดีหรือไม่? เพราะเรื่องมันก็เหมือนจะจบไปแล้วโดยที่ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำเสียหายอะไรมากนัก

แต่กระนั้นเมื่อมองถึงภาพรวมการเผยแพร่เรื่องนี้ออกมาก็น่าจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะนอกจากจะเป็นกรณีตัวอย่างให้กับ (พ่อแม่) เด็กรุ่นใหม่ที่มีความฝันอยากทำงานในวงการแล้ว อย่างน้อยๆ ตัวผู้เป็น “พ่อตา” เองก็น่าจะได้รับรู้ว่าพฤติกรรมของ “ลูกเขย” ตัวเองในครั้งนี้มีส่วนทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรดูไม่ดีเอาเสียเลยเหมือนกัน

คุณแม่คนดังกล่าวเล่าว่าเรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อลูกสาววัยรุ่นของเธออยากจะอยากมีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดกับศิลปินที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ เธอจึงลองติดต่อไปหาเขยค่ายยักษ์ใหญ่คนดังกล่าวเพราะพอจะรู้จักกันอยู่บ้าง ด้วยความเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจจะมีน้ำใจพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนบ้านเดียวกัน และที่ผ่านมาลูกสาวเธอก็เคยไปออกทีวี เล่นเกมโชว์ ประกวดร้องเพลง ในรายการที่ผลิตโดยบริษัท “พ่อตา” ของอีกฝ่ายมาแล้ว

โดยนอกจากเรื่องคอนเสิร์ต เธอเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะถือโอกาสนี้ขอคำแนะนำให้กับผู้เป็นลูกสาวซึ่งมีความฝันอยากจะเป็นนักร้องและเคยมีประสบการณ์ทำงานเพลงกับคนในวงการมาบ้างแล้วไปด้วยเลย พูดง่ายๆ ก็คืออยากฝากลูกสาวให้อีกฝ่ายช่วยผลักดัน ช่วยปั้นให้นั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม หลังนัดมาเจอเพื่อพูดคุยกัน แทนที่จะได้รับคำชี้แนะถึงสิ่งที่ต้องทำหรือคำอธิบายถึงโอกาสความเป็นไปได้ในสิ่งที่ต้องการ กลายเป็นว่าสิ่งที่เขยค่ายใหญ่พร่ำบอกกลับวนเวียนอยู่กับข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่เงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยบอกทำนองว่าตนก็พอช่วยได้ แต่ต้องทำใจไว้เลยว่าสุดท้ายเรื่องนี้ส่วนใหญ่นอกจากเงินจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้ว อย่างอื่นก็สำคัญไม่แพ้กัน

โดยเฉพาะถ้าอยากจะโตเร็วๆ ดังเร็วๆ ก็ต้องยอมใช้อย่างอื่นเข้าแลก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำกันทุกคน แต่หลายคนทำ และหลายคนต้องการ เป็นเรื่องปกติในวงการฯ บางคนต้องทำงานกับคนหลายคนก็ต้องยอม “เปลี่ยนม้า” ไปเรื่อยๆ ขณะที่เด็กบางคนไปไม่ถึงฝันก็เพราะมีแม่หัวโบราณไม่ยอมรับกับเรื่องพวกนี้ก็มี ฯลฯ


ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าตัวยังเอ่ยชื่อเกิร์ลกรุ๊ปมีชื่อวงหนึ่งขึ้นมาให้ฟังเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก

แรกๆ ที่ได้ยินแม้ทางผู้เป็นแม่จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่ก็พยายามเข้าใจว่าเขยค่ายใหญ่พูดด้วยความปรารถนาดี ชี้ถึงด้านมืดของวงการ เตือนถึงสิ่งที่ลูกสาวจะเจอ ทว่าพอฟังไปฟังมาทั้งเรื่องเอาตัวเข้าแลก คุยถึงเรื่องการมีเซ็กส์ว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กรุ่นใหม่ ฯ เจ้าตัวก็เริ่มรู้สึกว่าตรงนี้ไม่น่าจะใช่ความหวังดีแล้ว

แต่มันน่าจะเป็นการหวังเคลมลูกสาววัย 19 ของตัวเองมากกว่า

หลังการคุยแบบเจอหน้า เขยค่ายใหญ่ยังได้ส่งข้อความทางไลน์เข้ามาคุยกับลูกสาวตนโดยย้ำถึงเรื่องเดิมและถามว่าตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเอาหรือไม่เอา?

เมื่อลูกสาวตนยืนยันว่าไม่เอาด้วยกับแนวทางที่ว่า อีกฝ่ายก็ออกตัวในทำนองว่าดีแล้ว ด้วยเหตุนี้ตนถึงไม่อยากรับปากว่าจะช่วยแล้วไปคุยกับใครๆ ไว้ เพราะถ้ามีเรื่องนี้ขึ้นมาตัวเองคงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนจะถามไปถึงเรื่องกิจวัตรประจำวันของลูกสาวและยังขอโทรฯ เข้ามาคุยด้วย

ทั้งหลายทั้งปวงทำเอาผู้เป็นแม่รู้สึกรับไม่ได้จนต้องส่งข้อความต่อว่าไปยังอีกฝ่าย ขณะที่เขยค่ายใหญ่ก็พยายามชี้แจงว่าเป็นการเล่าให้ฟังว่าน้องจะต้องเจออะไรบ้าง ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรเลย คุณแม่เข้าใจผิดไปเอง กระทั่งสุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมขอโทษกับสิ่งที่พูดออกไป

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผ่านมาเขยค่ายใหญ่คนนี้เคยมีคำแนะนำแบบนี้ให้กับใครไปหรือไม่อย่างไร? หรือเพิ่งจะมาเกิดอาการทรงนี้เป็นครั้งแรกเพราะเห็นเด็กสาวหน้าตาดีแถมมีคำพูดที่ว่าหนูไม่เคยเลยกับเรื่องแบบนี้มาก่อน

แต่เอาเป็นว่านอกจากแม่ของเด็กสาวแล้ว อีก 2 คนที่เขยค่ายใหญ่น่าจะไปขอโทษด้วยก็เห็นจะเป็นผู้เป็น “พ่อตา” กับ “ภรรยา” นี่แหละ

เพราะเชื่อว่าทั้งสองคงจะรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ ถ้าได้ยินคนเป็น “ลูกเขย” ได้ยินผู้เป็น “สามี” ไปบอกถึงสถานะของตัวเองให้คนอื่นฟังว่าตอนนี้พี่กำลังมีปัญหากับภรรยา พี่กำลังจะหย่าอยู่นะ อะไรทำนองนี้อย่างแน่นอน”

ขอบคุณข้อมูล – ภาพ เพจเฟซบุ๊ก “ซีทรู”