เมื่อวันที่ 6 ต.ค ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีชุมนุมปิดสภาหมายเลขดำ อ.887/63 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 69 ปี ชาว จ.ชุมพร แกนนำกลุ่ม นปช. เป็นจำเลยในความผิดร่วมกันชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ทำร้ายร่างกาย, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ทำให้เสียทรัพย์และอื่นๆ

กรณีเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องซึ่งเป็นแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาชนประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดงหลายพันคน โดยจำเลยนำกลุ่มผู้ชุมนุมหลายร้อยคนขย่มทำลายประตูรั้วอาคารรัฐสภาเพื่อขัดขวางปิดทางเข้าออกเพื่อมิให้รัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าประชุมรัฐสภา ทำให้ทรัพย์สินเสียหายประมาณ 6 พันบาท หลังจากนั้นจำเลยกับพวกได้ขับรถยนต์ติดตั้งเครื่องขยายเสียงสำหรับใช้ปราศรัยปลุกระดมผู้ร่วมชุมนุม เป็นเหตุให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีอีกหลายคน รวมทั้ง ส.ส.ต้องติดอยู่ภายในอาคาร และต้องหลบซ่อนตัวไม่สามารถหลบหนีออกมาได้

นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ รปภ. ที่ดูแลอาคารได้รับบาดเจ็บหลายนาย รวมทั้งแย่งอาวุธปืนขนาด 11 มม. และปืน เอ็ม 16 ของเจ้าหน้าที่ไปโดยทุจริต โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย

วันนี้จำเลยเดินทางมาศาล

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานบุกรุก จำคุก 1 ปี และปรับ 12,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 8,000 บาท พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ทั้งจำเลยยังช่วยป้องกันผลร้ายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยการนำอาวุธปืนทั้งสองกระบอกไปคืนเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลย กลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

พ.ต.ต.เสงี่ยม เปิดเผยว่า รู้สึกพึงพอใจผลคำพิพากษาที่ศาลให้ความยุติธรรม เนื่องจากการชุมนุมในครั้งนั้น เป็นการชุมนุมตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนเองเป็นเพียงแค่ผู้ร่วมชุมนุมไม่ได้เป็นแกนนำ แต่กลุ่มมวลชนไปพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจพกพาอาวุธสงครามอยู่ในรัฐสภา กลุ่มมวลชนได้ไปยึดอาวุธมา ตนจึงรีบไปขอนำอาวุธดังกล่าวมาเก็บไว้เพราะเกรงว่ามวลชน ไม่มีความรู้เรื่องการใช้อาวุธ เกรงจะเกิดปืนลั่นอาจจะไม่ปลอดภัย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุดังกล่าวตนเองมีเจตนาดี ได้ติดต่อตำรวจนำอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอก ไปคืนให้ทันทีหลังจากเกิดเหตุเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงตามมา

ด้านนายกฤษณ์ ขำทวี ทนายความ เปิดเผยว่า ศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการแม้ว่าในขณะเกิดเหตุกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าไปในรัฐสภาก็ตาม แต่ศาลมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการนำมวลชนไปกดดันเพื่อที่จะเข้าไปในรัฐสภา ทางเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง จึงพิพากษาให้ลงโทษในความผิดดังกล่าวเพียงข้อหาเดียว ส่วนข้อหาอื่นยกฟ้อง