เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ในฐานะ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย จัดรายการหัวใจไม่หยุดเต้น EP.57 ผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ยุบสภาแน่ ยังไงก็ต้องเลือกตั้ง” โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นตัวจริงของพรรครวมไทยสร้างชาติ อันนี้ชัดเจนไม่ต้องหมุนเสา บรรดานักการเมืองแม้กระทั่ง ส.ส.ปัจจุบันที่พาเหรดกันเข้าพรรคนี้ ไม่ใช่แรงดึงดูดจาก นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือนายเอกนัฎ พร้อมพันธ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนๆ ส.ส.หลายคนที่ได้รับการชักชวนเล่าสู่กันฟังว่า ได้รับโทรศัพท์จาก พล.อ.ประยุทธ์ พูดจากันจนมั่นใจว่าจุดนัดพบคือพรรคการเมืองตั้งใหม่พรรคนี้

แต่ถึงกระนั้นก็ตามเราคงไม่ได้เห็นพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกรวมไทยสร้างชาติเร็วๆ นี้ เพราะอย่าลืมว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ ได้มาจากการเป็นแคนดิเดตนายกเพียงหนึ่งเดียวของพลังประชารัฐ ถึงกฎหมายจะไม่ห้าม แต่ถ้านายกรัฐมนตรีจากแคนดิเดตพลังประชารัฐเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ คิดดูว่ามันจะประดักประเดิด ท้าทายความอดทนของใบหน้ากันขนาดไหน ถ้าเอากันอย่างนั้นจริงๆ ไปสมัครรวมไทยสร้างชาติ เกิดมีใครสะกิด ส.ส.ในพลังประชารัฐ ออกมาตะโกนถามว่าตกลงท่านจะเอาอย่างไร เป็นนายกฯ จากแคนดิเดตพรรคหนึ่ง แล้วไปเป็นสมาชิกอีกพรรคหนึ่ง ก็ดูไม่จืด

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นถ้าจะเห็น พล.อ.ประยุทธ์ สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ คงจะได้ดูกันหลังจากยุบสภา ซึ่งยังไงก็ยุบแน่ ๆ เพื่อเปิดเวลาให้กับ ส.ส.ลูกทีมย้ายพรรคตามไปด้วย สิ่งที่น่าจะเห็นก่อนในทางการเมืองคงเป็นเรื่องปรับ ครม. ใจจริง พล.อ.ประยุทธ์คงไม่อยากปรับเลย เพราะไปทำแล้วมันจะยุ่ง แต่ประชาธิปัตย์ต้องการหนักมาก ต้องการทันที ต้องการเดี๋ยวนี้ เนื่องจากนายนริศ ขำนุรักษ์ แต่งตัวรออยู่นานแล้ว นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกมาทวงตรงๆ


“จึงน่าจับตามองว่าถ้าสถานการณ์จำเป็นต้องปรับ ครม. ของประชาธิปัตย์ที่ชัด แต่ของพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จะปรับอย่างไรกับเก้าอี้ที่เหลือ จะใช้รัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ หรือจะเปิดเก้าอี้ให้กับบางคนจากรวมไทยสร้างชาติ และถ้าเอาแบบนั้น พลังประชารัฐเขาจะยอมไหม พล.อ.ประวิตรเขาจะยอมไหม หรือผู้กองธรรมนัสจะกลับมาในฐานะโควตาพรรคพลังประชารัฐ ได้หรือไม่ ทั้งหมดทั้งหลายจะยุ่งมือนายกฯ หน่อยล่ะครับ”

ส่วนเรื่องกฎหมายกัญชง กัญชา ที่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ มาถึงวันนี้คงไม่มีพรรคไหนสามารถเปลี่ยนจุดยืนได้แล้ว ถ้าจะโหวตในสภาภูมิใจไทยเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ส่วนประชาธิปัตย์ถ้าถอยตอนนี้ไม่เสียพล แต่คงเสียหมา ดังนั้นเป็นไปได้ว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการใช้ Delay Tactics เอากลไกของสภาขยับเลื่อนวาระนี้ออกไปเรื่อย ๆ ยังไม่โหวตทันที พยายามที่จะหาจุดลงตัวในสภา ในพรรคร่วมรัฐบาลกันเสียก่อน ส่วนเสียงขู่ประมาณว่าแตกหักกันแน่ หรือกระทั่งถ้าหากมีการโหวตสวน จะมีส.ส.ภูมิใจไทยลาออก 20-30 คน อย่าเอามาตื่นเต้นเลย อย่างไรรัฐบาลก็ไม่พังด้วยเรื่องนี้ และถ้าจะมี ส.ส.ลาออก 20-30 คน ในห้วงเวลานี้ ใครจะสน มันไม่ต้องเลือกตั้งซ่อม ออกแล้วก็ออกไป สำคัญก็คือจะไม่มีใครออกตามที่ขู่กัน

“การเมืองยุ่งๆ ในโค้งสุดท้ายของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าในที่สุดสถานการณ์จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กฎหมายลูกจะเป็นอย่างไร รอดูการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายแม่คือตัวรัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ชัด ถ้ารัฐบาลครบวาระก็ต้องเลือกตั้งตามกรอบกำหนดเวลา ไอ้ที่ว่ารัฐบาลจะรักษาการกันไปเรื่อย ๆ เลยเถิดไม่มีจุดหมายมันทำไม่ได้ ทางเดียวถ้าจะไม่เลือกตั้งก็คือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วใครจะทำล่ะ”

สัมพันธภาพระหว่างกองทัพกับรัฐบาลชุดนี้มันไม่ได้สนิทแนบแน่นอย่างที่ใครคิด หลายงานที่นายกรัฐมนตรีออกงาน ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่ได้มาด้วยตัวเอง บางครั้งบางทีนั่งอยู่ในงานเดียวกับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นเดินทางกลับ ผู้นำเหล่าทัพก็ไม่ได้เดินตามไปส่ง ภาพเล็กๆ แบบนี้มันฉายสัญญาณบางประการในทางการเมืองเหมือนกัน ถ้าคิดจะทำกันจริง ๆ มาถึงวันนี้อย่าคิดว่าจะสำเร็จง่าย ๆ กองทัพอย่านึกว่าแน่นัก ดูซาอุฯ กับ อาร์เจนตินา บ้าง” นายณัฐวุฒิ กล่าว