เมื่อวันที่ 30 พ.ย. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย กรณีตามที่ปรากฏข่าวจากการนำเสนอของสื่อมวลชนและการให้สัมภาษณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งว่า เมื่อค่ำของวันที่ 24 พ.ย. 65 ได้มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองดังกล่าว ได้ไปพบกับนายกรัฐมนตรีที่บ้านพักรับรอง เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงสมัครรับเลือกตั้ง นั้น

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เห็นว่า การกระทำดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี เป็นการใช้หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้สถานะหรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง อีกทั้งการใช้บ้านพักรับรองซึ่งตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ อันเป็นส่วนราชการในพระองค์เป็นสถานที่นัดพบ คือ การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ข้อ 5 (2) และข้อ 8 (6) ตามข้อ 5 ของประมวลจริยธรรมดังกล่าว เป็นข้อกําหนดเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่ อันเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) การฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมข้อ 5 คือการไม่ซื่อสัตย์และไม่รับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ มีสิทธิเข้าชื่อเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เห็นต่อไปว่า ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามประกาศใช้และเป็นผู้รักษาการด้วยตนเอง จึงควรปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ดี ถึงแม้การชุมนุมหรือการพบปะทางการเมือง จะเป็นสิทธิและเสรีภาพของนายกรัฐมนตรีและนักการเมืองก็ตาม แต่จะต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือทรัพย์สินของทางราชการไปแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง เพราะนอกจากจะเป็นการไม่สุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่แล้ว ยังขาดจิตสำนึกที่ดีอันเป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ไม่พึงประสงค์.