เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 ธ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (ดท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง และความพร้อมการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า เรือรบหลวงสุโขทัยอับปาง พรรคเพื่อไทยขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียเรือรบหลวงและขอแสดงเสียใจต่อผู้บาดเจ็บ ผู้สูญหาย ผู้เสียชีวิต การสูญเสียครั้งนี้มีความสำคัญมากเบื้องลึกฟันธงว่าเกิดจากความผิดพลาดของกรมอุตุนิยมวิทยา ต้องพยากรณ์อากาศต้องบอกเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ชาวประมง จะมีพายุลมแรงขนาดใด แต่ไม่ได้มีการแจ้งเตือนไปยังเรือหลวง หากมีการแจ้งเตือนคงไม่มีการขับเรือออกไปบริเวณนั้นซึ่งมีคลื่นลมแรงถึง 6 เมตร อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาคนปัจจุบันที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่เคยทำงานกรมอุตุนิยมวิทยา ไม่มีความรู้ และเป็นเสมียนเก่าที่เคยทำงานให้กับ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนเก่า

“อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดจากการพยากรณ์อากาศที่ผิดพลาด หากมีการประกาศแจ้งเตือนเรือหลวงสุโขทัย คงไม่ออกจากท่าเรือสัตหีบ มีการแจ้งผิดที่ผิดตำแหน่ง เป็นการพยากรณ์คลื่นลมแบบกว้างๆไม่ได้บอกพิกัดหรือตำแหน่งที่ชัดเจน ขอท้าให้ฟ้องร้องได้เลยหากไม่เป็นความจริง ท้าให้ออกทีวีแข่งกับผมเรื่องการพยากรณ์อากาศได้เลย หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สอบสวน จะยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบแน่นอน เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ จะไม่ให้ทหารเรือตายฟรี”

นายยุทธพงศ์ กล่าวถึงการเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า ตนจะอภิปรายเรื่องของนายกรัฐมนตรี เอาเสมียนที่ไม่มีความรู้มาทำงาน จะอภิปรายนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต้องรับผิดชอบด้วยที่มีการเสนอชื่อดังกล่าวให้มาปฏิบัติหน้าที่ ญัตติได้ร่างเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ บริหารแผ่นดินขาดความซื่อสัตย์ ไม่เป็นไปตามนโยบายที่เสนอต่อสภา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยไปเยี่ยมหรือดูทหารเลยหลังจากที่ตนพูดในสภา จึงลงไปติดตาม แต่ที่ลงพื้นที่ จ.เชียงราย และภาคใต้เป็นการหาเสียง เพราะอยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

ทางด้าน น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในขณะนี้  ได้สะท้อนให้เห็นชัดถึงความผิดพลาด และล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการจัดการปัญหายาเสพติดในทุกด้านตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปราบปราม ป้องกัน และการฟื้นฟูเยียวยา จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไตรมาส 3 ปี 65 พบว่าคนไทยมีแนวโน้มเป็นผู้ป่วยประสบภาวะเครียด และซึมเศร้าประมาณ 1.36 ล้านคน โดยเดือน ก.ย. มีผู้เข้ารับการรักษาอยู่ที่ ร้อยละ 90.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 64 เกือบ 6% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าคนไทยปัจุจบันมีความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งความเครียดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประสบภาวะเครียดหาทางออกหลายคนจึงต้องพึ่งพายาเสพติดเพราะไปต่อไม่ได้ 

นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชยังมีการใช้สารเสพติดสูงถึง 622,172 ราย ในปี 64 ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับบำบัดรักษาต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันการกลับมาใช้สารเสพติดซ้ำ แต่จากรายงานผลการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในปี 65 พบว่า กลุ่มผู้ป่วยยาเสพติดเพียงครึ่งเท่านั้นที่ได้รับการดูแล คือร้อยละ 57.74 ยิ่งในผู้ป่วยยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงกว่า  53,484 ราย กลับไม่ได้รับการดูแลกว่า 25,234 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 47.18 ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้สนใจ ไม่ใส่ใจหรือวางแผนการจัดการปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและยั่งยืน และกำลังทำให้ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของคนไทยตกต่ำลง นอกจากปัญหาเก่า ยาเสพติดแก้ไม่ได้ ยังเพิ่มปัญหาใหม่ กัญชาเสรีเพราะร่าง พ.ร.บ.กัญชง กัญชา  พ.ศ…และมีช่องโหว่ทางกฎหมายมากมาย กำลังจะเป็นภัยร้ายที่จะส่งผลในอนาคตต่อเด็ก และเยาวชนไทย  

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหายาเสพติดต้องดำเนินการให้ครบวงจร นอกจากการปราบปราม ต้องรู้จักการป้องกัน วันนี้ รัฐบาลต้องสำรวจศูนย์บำบัดพักฟื้นและเจ้าหน้าที่ แพทย์ ให้เพียงพอ การติดตามผู้ป่วยต้องใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ และในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตาม ม.152 ในเดือน ม.ค.66 พรรคเพื่อไทยจะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความผิดพลาด และล้มเหลวของรัฐบาลพลเอกประประยุทธ์ ตั้งแต่ต้นทางในการปราบปรามยาเสพติดที่ล้มเหลว จนทำให้ยาบ้าถูกกว่าก๋วยเตี๋ยว และการป้องกัน ฟื้นฟูเยียวยาที่ไร้ประสิทธิภาพ และชี้ถึงเหตุผลว่าทำไมคนไทยควรพอได้แล้วกับผู้นำที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

“ ยาเสพติดแพร่หลาย ทำลายอนาคตลูกหลาน การทุจริตคอร์รัปชั่นเติบโต ธุรกิจการเมืองเฟื่องฟู นิติรัฐ นิติธรรมถูกตั้งคำถาม อย่าอ้างมีงานต้องทำต่อ เพราะประชาชนทุกวันนี้รู้แล้วว่า มีเวลาตั้ง 8 ปีทำไมไม่ทำ” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว.