สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน แถลงเมื่อวันอาทิตย์ ว่าออสเตรเลียไม่สามารถอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์และปิดประเทศจากโรคโควิด-19 ได้ตลอดไป โดยเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง "ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ" แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับออสเตรเลีย ต่อมื่อ 70% ของประชากรได้รับวัคซีนแล้วเท่านั้น เนื่องจากการให้ผู้ป่วยรายวันลดลงเป็น "ศูนย์" นั้น "แทบเป็นไปไม่ได้"
ทั้งนี้ ออสเตรเลียเริ่มโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชากรในประเทศ เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบัน มีประชากรอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี ประมาณ 30% เท่านั้น ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ส่วนใหญ่ใช้วัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และรัฐบาลเพิ่มการทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย เพื่อให้มีการใช้งานวัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด มากขึ้น โดยยืนยันว่า "ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฉีดวัคซีน มีมากกว่าผลข้างเคียง" 
อย่างไรก็ตาม 11% ของชาวออสเตรเลียน ซึ่งให้ความเห็นเมื่อต้นเดือนนี้ กับการสำรวจของหนังสือพิมพ์ ดิ ออสเตรเลียน ร่วมกับศูนย์วิจัย นิวส์แฟลร์ ยืนยันจะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แม้ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับการคุกคามอย่างหนักของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ สถานที่ตั้งเมืองซิดนีย์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ พบผู้ป่วยจากในชุมชนเพิ่มอีก 830 คน ขณะที่ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์สลายการชุมนุมต่อต้านล็อกดาวน์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้มากกว่า 200 คน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES