ท่ามกลางเสียงปะโคมปี่กลองเลือกตั้งที่ดังขึ้นเรื่อยๆ กับหมุดหมายการเลือกตั้งใหญ่ ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ดังนั้นในห้วงเวลาก่อนเปิดสนามเลือกตั้งนี้ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงได้นำข้อมูลโปรไฟล์ “ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” คนสำคัญของพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งนโยบายหาเสียงที่น่าสนใจ เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้…

เริ่มกันที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อายุ 69 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรครวมไทยสร้างชาติ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร จนสำเร็จเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 เป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23 เป็นต้น โดยมีประสบการณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น

ทั้งนี้ “บิ๊กตู่” มาพร้อมกับมอตโต้หาเสียง “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” โดย พรรครวมไทยสร้างชาติ เน้นชูจุดขายที่ตัว “บิ๊กตู่” ซึ่งมีผลงานที่ทำมาแล้วมากมาย รวมถึงชูจุดขายเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความรักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขณะที่แนวนโยบายภาพรวมของพรรค จะเน้นจุดขายการมุ่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อเป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รวมทั้งต่อยอดนโยบายเดิม อาทิ บัตรสวัสดิการพลัส ที่เพิ่มเงิน 1,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

ต่อกันด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อายุ 77 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และศึกษาต่อ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 เป็นต้น มีประสบการณ์ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ “บิ๊กตู่” หยุดปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนั้นยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.กลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น

งานนี้ “บิ๊กป้อม” มาพร้อมกับมอตโต้ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ปักธงลุยศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยการตั้งเป้ากวาด ส.ส. เกิน 100 ที่นั่ง เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีขุนพลบ้านใหญ่หลายพื้นที่เป็นแกนหลัก อาทิ พื้นที่นครราชสีมา เพชรบูรณ์ สมุทรปราการ นนทบุรี สระแก้ว สิงห์บุรี รวมทั้งโซนภาคเหนือตอนล่าง 4-5 จังหวัด ขณะที่แนวนโยบายภาพรวมของพรรค จะเน้นจุดขายต่อยอดจากนโยบายที่เคยทำประสบความสำเร็จ อาทิ บัตรประชารัฐ ที่ต่อยอดจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงิน 700 บาทต่อเดือน พร้อมยังชูนโยบายจับมือกับทุกพรรครักทุกขั้วเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นต้น

พลิกขั้วมาที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร อายุ 36 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ สาขาวิชา Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ มีประสบการณ์ ในฐานะนักธุรกิจ เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการอื่น ๆ รวมทั้งหมด 21 บริษัท มูลค่าประมาณ 68,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเป็นทายาทนักการเมืองคนสำคัญ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งถือเป็นดีเอ็นเอสายตรงของตระกูลชินวัตร

โดย “อุ๊งอิ๊ง” เปิดตัวในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมมอตโต้เรียกเรตติ้ง “คิดใหญ่ ทำเป็น” ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย (พท.) ตั้งเป้าหมาย “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ปักหมุดทวงคืนฐานเสียงในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ ตั้งเป้ากวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 250-310 ที่นั่ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โดยมีการการคลอดนโยบายเรื่องดูแลปากท้องแบบจับต้องได้ อาทิ นโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อคนต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทขึ้นไป ยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค พร้อมชูเรื่องความเป็นมืออาชีพการบริหารเศรษฐกิจเป็นจุดแข็ง เป็นต้น

ยังอยู่ที่พรรคเพื่อไทย กับอีกหนึ่งว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ที่เขย่าเวทีการเมืองในช่วงที่ผ่านมา อย่าง เศรษฐา ทวีสิน อายุ 60 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จบการศึกษา จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา โดยมีประสบการณ์ ในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ในตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

ยึดมอตโต้หลักของพรรคเพื่อไทย “คิดใหญ่ ทำเป็น” แต่ เศรษฐา มีจุดขายสำคัญด้านเศรษฐกิจ ซึ่งตรงกับการชูเรื่องความเป็นมืออาชีพการบริหารเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย

ปรับโฟกัสมาที่ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อายุ 67 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ (สิงห์แดง) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขานโยบายสาธารณะและการวางแผน จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งมีประสบการณ์ ในฐานะ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ นอกจากนั้นยังเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่ง อาทิ รมว.สาธารณสุข รมว.ศึกษาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น

ทั้งนี้ “อู๊ดด้า” มาพร้อมกับมอตโต้ที่ว่า “ทำได้ไว ทำได้จริง” โดย พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งเป้าส่งผู้สมัคร ส.ส. ครบ 400 เขต และมีภารกิจหลักในการรักษาฐานที่มั่นสำคัญอย่าง ภาคใต้ ท่ามกลางวงล้อมของคู่แข่งจากหลากหลายพรรค โดยเฉพาะต้องต่อกรกับเหล่าศิษย์เก่าที่ย้ายออกไป รวมทั้งการทวงคืนพื้นที่ กทม. ที่ยังเป็นงานหินไม่น้อย สำหรับนโยบายเพื่อใช้เรียกคะแนนเสียง มีการจัดทำชุดนโยบาย “สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ” ซึ่งหนึ่งในนั้น ยังสานต่อนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่ทำมาแล้ว 4 ปี และมีการเพิ่มนโยบายหลายเรื่อง ที่ทุ่มทุนดูแลกลุ่มเกษตรกร หวังซื้อใจขอคะแนนจากคนกลุ่มนี้ ที่เป็นฐานใหญ่ของประเทศ

มาต่อกันที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล อายุ 56 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทย จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University)​ รัฐนิวยอร์ก​ สหรัฐ​ และจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Mini MBA) มีประสบการณ์ ในฐานะรองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข และยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ อดีต รมช.สาธารณสุข อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังเป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจ โดยเป็นผู้ก่อตั้ง บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น

การเลือกตั้งในครั้งนี้ “เสี่ยหนู” เลือกใช้มอตโต้หาเสียง “พูดแล้วทำ” ซึ่งพรรคภูมิใจไทย มีการตั้งเป้ากวาด ส.ส. ให้ได้มากกว่า 120 คน กับเป้าหมายดัน “เสี่ยหนู” ผงาดขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 อาศัยยุทธวิธีสะสมกำลังพลบ้านใหญ่ในแต่ละจังหวัด และอาศัยแรงดึงดูดนักการเมืองเกรดต้นๆ จากพรรคอื่น เข้ามาเสริมทัพอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนยุบสภา ส่วนนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง ได้ต่อยอดจากของเดิม “พูดแล้วทำ” มาเป็น “เราทำแล้ว” โดยเฉพาะนโยบาย “กัญชาเสรี” ที่จะกลายมาเป็นจุดขายหาเสียงอีกครั้งในครั้งนี้ นอกจากนั้นยังมีนโยบายที่น่าสนใจ อาทิ นโยบายพักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท นโยบายเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีทุกจังหวัด-ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ เป็นต้น

ปิดท้ายกันด้วย “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อายุ 42 ปี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ชั้นประถมจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น จากนั้นไปศึกษาต่อชั้นมัธยมตอนปลายที่ประเทศนิวซีแลนด์ จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี สาขาการเงิน (ภาคภาษาอังกฤษ) เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท การเมืองการปกครอง สาขาการบริหารภาครัฐ ที่ John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปริญญาโท การบริหารธุรกิจ Sloan สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มีประสบการณ์ ในฐานะ ส.ส. ตลอด 4 ปี และเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล รับไม้ต่อจากพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบพรรค ขณะเดียวกันยังเป็นทายาททางการเมืองของ พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขานุการ รมว.มหาดไทย

ทั้งนี้ “ทิม” เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งด้วยมอตโต้ “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” โดยพรรคก้าวไกล ปักหมุดเดินเครื่องลุยงานการเมือง เน้นพื้นที่ กทม. และภาคอีสาน ที่ล้วนเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ สานต่อนโยบายที่เป็นดีเอ็นเอพรรคอนาคตใหม่ ทั้งการปฏิรูปการเมืองสร้างประชาธิปไตย ปิดสวิตช์ 3 ป. การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร หยุดส่วยรีดไถ เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด และยังมีนโยบายปากท้อง ทั้งการขึ้นค่าแรงทุกปี คืนที่ดิน ส.ป.ก.นายทุน เป็นโฉนดให้เกษตรกร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ที่ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” นำเสนอในครั้งนี้ เป็นบุคคลที่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีบุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้ ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สำหรับรายชื่อของแคนดิเดตนายกฯ ทั้งหมด จะต้องรอการประกาศรายชื่อจาก กกต. ภายหลังการสมัครรับเลือกตั้ง ในช่วงต้นเดือน เม.ย. นี้.