เมื่อวันที่ 17 พ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ส.ว. สูงวัย ปิดสวิตช์ตัวเองบรรดา ส.ว. ที่ได้รับเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน แต่ปันใจให้ “ลุง” คนแต่งตั้ง แก๊ง ส.ว. สุมหัวตั้งท่า “กันเสียงของประชาชน” มีทั้งบอกว่าให้ พิธา ก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน เก็บประสบการณ์มาให้มากก่อน เพราะโตเร็วไป”

ไหนบอกอยากจะปิดสวิตช์ ส.ว. ไม่ใช่หรือ?” “จะปิดสวิตซ์ตัวเอง ขอ “งดออกเสียง” โหวตเลือกนายกฯ” บางคนอ้างไปถึงธรรมะ ความมั่นคงของประเทศชาติ อ้างความไม่เหมาะสมต่างๆ นานา แสดงท่าทีสนับสนุน “อำนาจลุง” คนแต่งตั้งดั้งเดิม กีดกันพรรคคนรุ่นใหม่ก้าวไกลเต็มคาราเบล

ฉันทามติเลือกตั้งคะแนนเสียงล้นหลาม แต่ยังฝืนสังขารลากไส้ตัวเองมาประจาน พ่นน้ำลายออกมาว่า “เมื่อรังเกียจ ส.ว. ก็อย่ามายุ่งสิ” ก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่ดันกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนกันอยู่ทุกคน

นี่หาก “ลุง” ยังผสมพันธุ์กับแมลงสาบ และหนู ได้เสียงมากพอ คงเห็น ส.ว. กดปุ่มสนับสนุนเหมือนหุ่นยนต์

นี่เป็นแผน “ล้มประชาธิปไตย” ของ ส.ว. อำนาจค้างขั้วดั้งเดิม ที่ต่างพาเหรดกันออกความเห็น หากคิดว่าพิธาไม่เหมาะเป็นนายกฯ ทำไมไม่ร้องมาก่อนเลือกตั้งกันไปเลย

แต่พอคะแนนออก ได้ทีให้ความเห็นไม่เหมาะสมกันหน้าสลอน หากพิธาไม่เหมาะเป็นนายกฯ ทั้งที่ประชาชนเลือกมาแล้ว ส.ว. สูงวัย ที่สองลุงลากมา เหมาะเป็น ส.ว. กันหรือเปล่า? ประชาชนมีโอกาสเลือกกันบ้างไหม?

เมื่อปิดหูปิดตา มองไม่เห็นอำนาจแท้จริงที่ประชาชนเลือกมา 27 ล้านเสียงคิดว่าอำนาจ ส.ว. 250 คน ยิ่งใหญ่กว่าเสียงของประชาชนหนักหนาจะใช้สิทธิ “งดออกเสียง” ในวันเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อสภาเสนอชื่อ พิธา พรรคก้าวไกล

จึงหมายถึงการเป็น “ตัวถ่วงของประเทศ” เพราะตัวเองมีหน้าที่ร่วมเลือกนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับ “เพื่อลุง” หากมีจุดยืนจริง ต้องกดปุ่ม “ไม่เห็นด้วย” ไปเลย ถึงเรียกว่าทำหน้าที่ได้สมราคา ไม่ใช่ทำเป็น “จระเข้ขวางคลอง” ขัดขวางให้เดินหน้าไม่ได้ ไปไหนไม่เป็น

ส.ว. บางคนเคยเป็น NGO เป็นครูสอนเด็ก แต่พอไปเป็น ส.ว. ลากตั้ง ดันแปลงร่างง้างเสียงประชาชนไปด้วยแทนที่จะรู้ว่าระบอบประชาธิปไตยเขาดูกันที่เสียงข้างมากจากประชาชนที่ลงคะแนนให้แต่ “กูจะเอาของกูแบบนี้ ใครจะทำไม?!”

“ลุงสองคน” ที่ลากตั้ง ส.ว. ชุดนี้มา ก็ล้วนตกกระป๋องจมน้ำกันไปแล้วเมื่อฝั่ง “อำนาจนิยม” ได้แค่ 190 คน จะไปโหวตอะไรผ่าน ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้วประเทศเดินหน้าไม่ได้

จะเอากันอย่างนั้นใช่ไหม? หรือจะให้ประชาชนต้องออกมาให้เห็นว่า ระหว่างประชาชน 27 ล้านคน กับสมาชิกวุฒิสภาลากตั้ง 250 คน

ใครจะแน่กว่ากัน วัดกันไปเลย