เมื่อวันที่ 1 ก.ค. พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึุ่งผ่านมาแล้ว กว่า 19 ปี ว่า ในช่วงแรกของสถานการณ์ตั้งแต่ปี 2547-2553 มุ่งเน้นใช้กำลังทหารเป็นกำลังหลัก รวมทั้งได้เพิ่มเติมกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1-3 เข้าควบคุมสถานการณ์และยุติสภาพปัญหา จนกระทั่งเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการแก้ปัญหาตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน โดยได้มุ่งเน้นเสริมสร้างประสิทธิภาพให้กำลังฝ่ายพลเรือนและกำลังตำรวจ ด้วยการเพิ่มอัตรากำลังตำรวจ 1,700 นาย จัดตั้งเป็นหมวดปฏิบัติการพิเศษ ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในเขตพื้นที่เมืองทั้ง 37 อำเภอ และการเพิ่มอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนกว่า 7,000 นาย จัดตั้งเป็นชุดคุ้มครองตำบล 164 ชุด ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในหมู่บ้าน และชุมชน จนกระทั่งมีการถอนกำลังกลับที่ตั้งปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารจากกองทัพภาคที่ 1-3 ได้ถอนกำลังกลับทั้งหมดตั้งแต่ปี 2559-2560 รวมทั้งได้ทยอยปรับลดอัตรากำลังจากหน่วยต่างๆ ในโครงสร้างของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในทุกๆ ปี ส่งผลให้สามารถปรับลดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ลงได้แล้วกว่า 20,000 นาย คงเหลืออัตรากำลังทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ในปัจจุบัน 49,995 อัตรา
พล.ท.ศานติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้เตรียมแผนการปรับลดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นความมั่นคงและแผนปฏิบัติการด้านการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2566-2570 ด้วยการทยอยปรับลดกำลังทหารพรานจากกองทัพภาคที่ 1-3 กลับที่ตั้งปกติทั้งหมด ควบคู่กับการปรับลดพื้นที่ประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้หมดสิ้นไปภายในปี 2570 สำหรับกำลังของกองทัพภาคที่ 4 และกำลังในส่วนอื่นๆ จะทยอยปรับลดหรือปรับเปลี่ยนภารกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ตามห้วงระยะเวลา ทั้งนี้ หากสถานการณ์พัฒนาเข้าสู่สภาวะปกติ เกิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถส่งผ่านการแก้ปัญหาไปสู่ระยะสุดท้าย ”การเสริมสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ได้ ความจำเป็นในการใช้กำลังทหาร ก็จะค่อยๆ หมดสิ้นไปในที่สุด.