เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นายทศพร ปภากุล ผอ.ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 11 พิษณุโลก พร้อมด้วย นายเสกสันต์ ลอมแปลง ผอ.ส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สบอ.11 และเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขค.2 (น้ำเพียงดิน) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ กอ.รมน.เพชรบูรณ์ ฝ่ายปกครองอำเภอหล่มเก่า ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หล่มเก่า กว่า 80 นาย เข้าปฏิบัติการติดป้ายประกาศตรวจยึดหน้าบ้านพัก รีสอร์ท บริเวณจุดชมวิวผาหัวสิงห์ ภูทับเบิก ต.บ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า รีสอร์ทดังกล่าวบุกรุกเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ 3 แห่ง ประกอบด้วย “สวนสวรรค์ภูทับเบิก” อยู่ริมหน้าผาด้านทิศใต้ห่างจากผาหัวสิงห์ ประมาณ 200 เมตร แห่งที่สองคือ ”กู๊ดวิว ฮอตวิว ภูทับเบิก” อยู่ริมหน้าผาด้านทิศใต้ห่างจากผาหัวสิงห์ ประมาณ 100 เมตร ส่วนแห่งที่สามเป็นรีสอร์ทไม่มีชื่อ และเข้าทำการตรวจยึดไว้เมื่อหลายวันก่อนมาดำเนินการปิดป้ายดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่เตรียมป้ายไว้ทั้งหมด 5 ป้าย ประกอบด้วย ป้ายเพื่อแจ้งการตรวจยึดพื้นที่ ที่หน้าบ้านพัก รีสอร์ท บริเวณผาหัวสิงห์ ภูทับเบิก 3 ป้าย และ ป้ายแสดงอาณาเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อ 2 ป้าย และระหว่างที่กำลังทำการปิดป้ายอยู่นั้นได้มีชาวบ้านซึ่งเป็นม้งในพื้นที่กว่า 30 คน นำรถกระบะมาจอดขวางทางลงไว้

ทั้งนี้นายทศพร ปภากุล ผอ.ส่วนอุทยานแห่งชาติ สบอ.11 ก็ไม่ได้มีการโต้ตอบหรือพูดคุยกับกลุ่มชาวบ้าน ยังคงให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการปิดป้ายจนแล้วเสร็จ โดยเป็นป้ายระบุการตรวจยึด และเป็นพื้นที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย ตาม ปจว.ข้อ 4 และ ปจว.ข้อ 5 สภ.หล่มเก่า ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 คือ ห้ามมิให้ผู้ใด ยึดถือ ครอบครอง หรือทำประโยชน์พื้นที่บริเวณนี้โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้ง 3 ป้าย และติดป้ายบริเวณล่อแหลมและเสี่ยงต่อการบุกรุกพื้นที่อีก 2 ป้าย จากนั้นได้เดินเท้าออกจากพื้นที่โดยทิ้งรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ไว้ด้านบนเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับกลุ่มชาวบ้านดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากชุดปิดป้ายเดินทางออกจากพื้นที่แล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอหล่มเก่า และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หล่มเก่า ได้เจรจากับกลุ่มชาวบ้าน ซึ่งต่อมากลุ่มมวลชนก็ยินยอมปล่อยให้เจ้าหน้าที่นำรถลงจากภูทับเบิก โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด