จากกรณี คุณแม่ท่านหนึ่ง ได้โพสต์เฟซบุ๊กตัดพ้อ หลังจากที่ลูกชาย อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.จันทบุรี ผลการเรียนอยู่ในระดับที่ดีพอควร แต่ถูกอาจารย์เรียกพบบอกให้ลาออกหรือย้ายคณะ อ้างว่าสาเหตุมาจากกลิ่นตัวแรง ผมยาว (รองทรงต่ำ) เรียกผู้ปกครองไปพบเพื่อให้ลาออก แต่ยังไม่ได้ไปพบ พร้อมสอบถามว่าแบบนี้ควรลาออกให้ลูกเลิกเรียนดีไหม เนื่องจากตอนนี้ลูกจิตตกมาก หมดความมั่นใจ ถึงขั้นร้องไห้ ภายหลังจากที่โพสต์นี้ถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ทั้งให้กำลังใจคุณแม่และน้อง รวมถึงตำหนิอาจารย์ที่ดำเนินการแบบนี้แทนที่จะแนะนำวิธี หรือช่วยนักศึกษาแก้ปัญหามากกว่า นั้น

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผศ.ไวกูณฑ์ ทองอร่าม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี เปิดเผยว่า ทางคณะทำงานได้ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงแล้วทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสื่อความหมายผิดระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง จนทำให้ผู้ปกครองเกิดความไม่พอใจ จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าว ทางคณะอาจารย์ผู้สอนคณะคหกรรมศาสตร์ ซึ่งสอนเด็กคนดังกล่าวอยู่ในระดับปี 2 ได้มีการอบรมเด็กชายคนดังกล่าวในเรื่องของการแต่งกาย และการปฏิบัติตัวในสังคม เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงของการออกฝึกงาน โดยจะต้องปฏิบัติตนให้ถูกสุขอนามัย เนื่องจากเป็นวิชาชีพการประกอบอาหาร แต่เด็กคนดังกล่าวสื่อสารกับผู้ปกครองว่า ทางมหาวิทยาลัยจะให้ลาออกหรือย้ายคณะ ซึ่งเป็นการสื่อสารผิด

ผศ.ไวกูณฑ์ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้น ทางมหาวิทยาลัยได้ติดต่อผู้ปกครองของเด็กแล้วให้เข้ามาพบ แต่ทางผู้ปกครองไม่สะดวก จึงได้คุยผ่านโทรศัพท์ เมื่อคุณแม่เกิดความเข้าใจแล้ว หลังจากนั้นจึงขอได้กล่าวขอโทษทางมหาวิทยาลัยและได้ลงโพสต์ขอโทษ โดยมีข้อความว่า “ขออนุญาตนำเสนอในเรื่องที่คุณแม่โพสต์เมื่อวาน เรื่องคุณแม่ควรให้ลูกลาออกดีไหม เพราะเรื่องกลิ่นตัวของลูก คุณแม่ต้องขอโทษสถาบันที่โพสต์โดยไม่ได้ไตร่ตรองก่อน อาจทำให้มีความเข้าใจผิดกันไปในมุมกว้างว่า อาจารย์ให้ลาออก คุณแม่ได้โทรฯคุยกับท่านอธิการบดีแล้ว และท่านได้ชี้แจงให้คุณแม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คุณแม่ขอใช้พื้นที่นี้ชี้แจงตรงนี้เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดต่อสถาบันให้ถูกต้องว่า คุณแม่เข้าใจสื่อสารผิดไปเอง ขออภัยในการที่เกิดความผิดพลาดในเรื่องของการสื่อสาร”

ผศ.ไวกูณฑ์ กล่าวต่ออีกว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้ปกครองทางโทรศัพท์แล้ว ก็อธิบายว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เป็นข่าว ไม่ได้มีการให้เด็กลาออก เพียงแต่เป็นการแนะนำว่าหากไม่ปรับตนเอง จะไม่สามารถฝึกงานได้ และจะไม่จบการศึกษา หรือถ้าไม่ออกไปฝึกงานอาจเปลี่ยนคณะหรือเปลี่ยนสาขาจะไม่ดีกว่าหรือ ซึ่งการเปลี่ยนสาขาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อเรียนแล้วพบว่าไม่ตรงกับความถนัดของตนเอง โดยก่อนหน้านี้ตนได้มีการโทรศัพท์คุยกับผู้ปกครองแล้วยอมรับว่าตัวผู้ปกครองเองด่วนที่จะสรุปแล้วก็สื่อสารลงโซเชียลไป โดยสื่อสารกับลูกผิดว่าทางคณะอาจารย์ให้ลูกของตัวเองลาออก โดยทางมหาวิทยาลัยยืนยันว่าทางเรามีความเป็นครูสูง จึงได้มีความตั้งใจอบรมสั่งสอนเด็กมาถึง 2 ปี ซึ่งเราค่อนข้างเสียดายในตัวของเด็ก ซึ่งมีผลการเรียนในระดับกลาง และอยากให้เด็กกลับเข้ามาเรียนต่อให้จบ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อผู้ปกครองของเด็กผ่านทางโทรศัพท์ โดยระบุว่า ตนไม่คิดว่าจะเป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ ยอมรับว่า ได้รับการสื่อสารจากลูกมาผิด โดยที่ไม่ได้สอบถามทางมหาวิทยาลัยก่อน ขณะนี้ได้สอบถามลูก ให้ลูกปรับปรุงตัว แต่ตัวลูกชายเองก็รักที่จะปฏิบัติตัวเช่นนั้น ตนจึงตัดสินใจให้ลูกลาออก เนื่องจากถ้าย้ายคณะก็จะต้องไปปรับปรุงตัวใหม่เข้ากับเพื่อนใหม่ ซึ่งลูกก็จะได้รับความกดดันอีก จึงคิดว่าลาออกเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับลูก.