เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ โรงแรมริเวอร์ฟร้อนท์ จ.มุกดาหาร นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย ทีมทนายความ แถลงข่าวหลังจากได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อขอประกันตัวและศาลอนุญาต

โดยเมื่อถึงโรงแรม ลุงพลมีสภาพที่อิดโรย และมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง ส่วนป้าแต๋น ยังยิ้มได้ปกติ พร้อมพูดเปรยสั้นๆ ระหว่างลงรถว่า “ไม่เป็นไร เรายังมีก๊อกสอง” ซึ่งทั้งหมดได้เดินขึ้นไปชั้น 6 ของโรงแรม เพื่อแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ท่ามกลาง FC ของลุงพลมาให้กำลังใจจำนวนมาก

โดย นายไชย์พล เปิดเผยความรู้สึกเพียงสั้นๆ เนื่องจากยังพูดไม่ออก และมีท่าทีจะร้องไห้ว่า น้อมรับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ตนได้รับทราบคำสั่งเรียบร้อย ซึ่งต่อไปก็เป็นหน้าที่ของทีมทนาย

ด้าน ป้าแต๋น กล่าวว่า ขอบคุณ FC ทุกคนที่คอยติดตาม และให้กำลังใจ ตนเชื่อว่า FC ทุกคนรู้ว่ากระบวนการยังไม่จบ ยังมีอีก 2-3 ศาลให้ต่อสู้ แต่วันนี้ตนพร้อมน้อมรับผลคำตัดสินของศาล แต่จะขอสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ทั้งนี้จะรอให้ถึงศาลฎีกาก่อน แล้วจะพูดตอบโต้

ขณะที่ นายสุรชัย ระบุว่า จำเลยของตนเคารพ และน้อมรับคำพิพากษาของศาล และขอบคุณศาลท่านที่อนุญาต เมตตาปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการต่อสู้คดี ซึ่งในคดีนี้ศาลมีดุลพินิจตัดสินแล้วว่าลุงพลผิดใน 2 กระทง มีโทษจำคุก 20 ปี ส่วนในรายละเอียดของคดี ศาลชั้นต้นได้ฟังข้อเท็จจริง และเชื่อว่าน้องชมพู่ไม่มีทางขึ้นภูเหล็กไฟได้ด้วยตัวเอง ด้วยรายงานการสืบสวนของตำรวจ รวมทั้งพยานบุคคลที่มาเบิกความว่าเด็กในวัยนี้ สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้วันละ 6 ชั่วโมงเท่านั้น จึงไม่เชื่อว่าสามารถขึ้นภูเหล็กไฟได้

ในกรณีนี้เมื่อศาลท่านไม่เชื่อ ก็ต้องมาดูต่อว่าใครจะเป็นผู้พาไปได้ โดยตามรายงานของตำรวจ คนที่เข้าถึงผู้ตายได้ ต้องเป็นเครือญาติ ซึ่งเครือญาติมีทั้งหมด 14 คน จึงขีดเส้น “ลุงพล” คนเดียว เนื่องจากว่ามีข้อพิรุธ ว่าในช่วงเวลา 09.11–09.49 น. ของวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ลุงพลไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ศาลท่านเชื่อกระบวนการทางอากาศ แต่ในทางต่อสู้ประเด็นนี้ เราได้นำพยานบุคคลมาหักล้าง โดยการเบิกความของพยาน

ส่วนกรณีเส้นผม 1 เส้นที่พบในรถยนต์ เป็นกลุ่มเส้นผมที่พบอยู่ข้างศพของน้องชมพู่ โดยได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์หลักฐาน จนสามารถเชื่อมโยง และฟังได้ว่า “ไม่มีคนอื่นพาไป นอกจากลุงพลคนเดียว” ซึ่งศาลท่านเชื่ออย่างนั้น วันนี้จึงมีคำพิพากษาใน 2 ข้อหา คือ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดา โดยศาลท่านมองว่าลุงพลไม่มีเจตนาฆ่าเด็ก ทำให้ลุงพลถูกตัดสินจำคุก 2 ข้อหา รวมโทษ 20 ปี

ส่วนข้อหาอำพรางซ่อนเร้นศพของทั้ง 2 จำเลย ศาลยกฟ้อง ซึ่งวันนี้ถือว่าสิ้นสุดว่าใครเป็นคนพาเด็กไป แม้ในคดีนี้จะไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นได้อย่างชัดเจน

สำหรับในประเด็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในคดีแพ่ง ทางโจทก์เรียกค่าปลงศพ 300,000 บาท แต่ศาลให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เป็นเงิน 150,000 บาท ส่วนค่าขาดรายได้ในการอุปการะเลี้ยงดู ทางฝ่ายโจทก์เรียก 5 ล้านบาท จากการคำนวณหากเด็กมีชีวิตอยู่ จะได้รายได้ต่อปี ปีละ 60,000 บาท ดังนั้นศาลให้จ่ายเป็นเงิน 1,020,000 บาท

โดยหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของทีมทนายที่จะเขียนคำอุทธรณ์ เพื่อยื่นต่อศาลภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันนี้ แต่ด้วยเอกสารที่มีหลายแฟ้ม จึงต้องใช้เวลาในการเขียนข้อตอบโต้และคัดค้าน เพื่อให้ศาลพิจารณาพิพากษาอีกครั้ง ซึ่งในครั้งต่อไปจะเป็นศาลอุทธรณ์ภาค 4 จังหวัดขอนแก่น คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี

ในคำพิพากษาศาลแจ้งให้ทราบว่า มีความเห็นแย้ง 2 ท่าน ให้ยกฟ้องคดีนี้ แต่ศาลชั้นต้นก็พิพากษาออกมาแล้ว ต่อไปต้องคัดถ่ายคำพิพากษาศาลที่สมบูรณ์ ก่อนจะยื่นอุทธรณ์ของลุงพลต่อไป คดีนี้ยกฟ้องข้อหาเคลื่อนย้ายศพ ค่าเสียหายทางแพ่งป้าแต๋นไม่ต้องรับผิดชอบ

ส่วนความเห็นแย้งของหัวหน้าผู้พิพากษาและอธิบดีผู้พิพากษาทั้ง 2 ท่าน มีผลต่อคดีเป็นอย่างมาก เป็นความเห็นที่มีเหตุมีผล จำเลยทั้ง 2 ไม่มีความผิดตามที่ฟ้อง แต่อาจจะมีความเห็นแย้งต่างกันก็ได้ แต่เห็นตรงข้ามกับคำพิพากษาวันนี้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อจำเลย สรุปแพ้คะแนนแบบไม่เอกฉันท์ แพ้บางส่วน วันนี้ว่าลุงพลไม่มีจิตใจโหดร้ายที่จะฆ่าเด็ก วันนี้เป็นการแพ้ในยกที่ 1 แต่ไม่ได้แพ้น็อก

อย่างไรก็ตาม การประกันตัวลุงพล ได้วางหลักทรัพย์เป็นเงิน 500,000 บาท โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีพิธีผูกแขนบายศรีสู่ขวัญใสช่วง 09.00 น. ที่วังปู่ปาริจิต–นาลุงพลป้าแต๋น จังหวัดสกลนคร.