การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายภายใต้ข้อจำกัดและโอกาสหลายด้าน ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการ อาทิ บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและภัยพิบัติต่าง ๆ ส่งเสริมการทำการเกษตรเพื่อรองรับข้อกำหนดทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัย ส่งเสริมการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อนำไปสู่เกษตรและบริการมูลค่าสูง ทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ
ปี 2566 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีทองของภาคเกษตรก็ว่าได้ เพราะมีการขยายตัวร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับปี 2565 สินค้าหลายชนิดต่างขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นสาขาพืชเท่านั้นที่หดตัว
หากจะแยก ตามสาขาที่ขยายตัวเริ่มจาก สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 4.7 เป็นผลจากความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐานและมีการควบคุมเฝ้าระวังโรคระบาดได้ดี โดยสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ สุกร ไก่เนื้อ และโคเนื้อ ขณะที่สินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ
สาขาประมง ขยายตัวร้อยละ 2.2 โดยกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกร มีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี แม้ว่าเกษตรกรยังคงประสบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และบางพื้นที่ยังพบโรคระบาดกุ้ง แต่เกษตรกรสามารถควบคุมโรคได้ดี ทำให้ในภาพรวมไม่กระทบต่อการเลี้ยงมากนัก ขณะที่สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีปริมาณลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักของการทำประมงทะเลยังอยู่ในระดับสูง และสภาพอากาศมีความแปรปรวน สำหรับปลานิลและปลาดุกมีผลผลิตลดลง เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนอาหารสัตว์ และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยง
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.6 โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สภาพอากาศทั่วไปเอื้ออำนวยและมีปริมาณน้ำเพียงพอ ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้มีการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชดังกล่าวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี บางพื้นที่ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง เกษตรกรบางส่วนงด เลื่อน หรือปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการเพาะปลูก ทำให้กิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญลดลง โดยเฉพาะข้าวนาปี และมันสำปะหลัง
สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 2.5 โดยไม้ยางพาราเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการตัดโค่นสวนยางพาราเก่ามากขึ้น ประกอบกับความต้องการไม้ยางพาราเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจีนเพิ่มขึ้น ไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับรังนกมีการส่งออกไปตลาดจีนลดลง และครั่งมีผลผลิตลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต
ขณะที่สาขาพืช พบว่ามีการหดตัวร้อยละ 1.3 เนื่องจากปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับมีช่วงอากาศร้อนยาวนานตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤษภาคม 2566 และภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญและแหล่งน้ำตามธรรมชาติลดลง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืช โดยพืชสำคัญที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ลำไย และเงาะ สำหรับผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน และมังคุด
ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการว่า แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2567 จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7 จากปัจจัยสนับสนุน ทั้งการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัว โดย สาขาพืช ปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 – 1.6 สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 1.7 – 2.7 สาขาประมง ขยายตัวร้อยละ 0.5 – 1.5 สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.3 – 1.3 และสาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 2.4 – 3.4
เรื่องนี้ต้องจับตาว่ารัฐบาลภายใต้การคุมบังเหียนของ”เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จะนำพาภาคเกษตรไปในทางที่ดีหรือว่าดิ่งเหว