ฮอตหนักมากและเป็นขวัญใจของแฟนๆทุกยุคทุกสมัยของจริงสำหรับนางเอกในตำนาน กวาง กมลชนก ที่ล่าสุดมาเปิดใจครั้งแรกถึงอาการป่วย หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทนทรมานกว่า 3 ปี ต้องกินยานอนหลับทุกวัน อีกทั้งยังตรวจพบเนื้องอกบริเวณปีกมดลูกและรังไข่ ผ่านรายการ คุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม

กวาง เผยว่า “เรื่องอาการป่วย หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ตอนนี้หลังจากทราบแล้ว หาหมอทำ MRI เรียบร้อยแล้ว พี่ก็ทำกายภาพบำบัดวันเว้นวันอยู่ แล้วก็ออกกำลังกายตามที่นักกายภาพเขาบอกว่าต้องทำท่าอะไรบ้าง ยกของหนักก็ไม่ได้ นั่งนานๆ ก็ปวดตรงนั้น ตรงนี้ จากที่เป็นคนบู๊ลุยมาก ไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไร ก็ต้องปรับชีวิต พี่ทนมากว่า 3 ปีเลย พี่ไม่รู้ว่าพี่เป็น ตอนแรกพี่คิดว่าพี่เมื่อยจากถ่ายละคร ปกตินานๆ พี่เล่นที แต่เล่นแล้วเยอะ เล่นบทหนัก วันที่ไม่ถ่ายก็รับลูก ส่งลูก กิจกรรมเยอะหลายอย่าง ก็ทนๆ มา ก็ไปนวด ตอนแรกๆ ก็ปวดขาก่อน จากคนไม่นวดเลย กลายเป็นคนติดนวด หมอนวดบอกว่า คุณกวางหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ หมายถึงว่าต้องนวดแรงขึ้นเรื่อยๆ  หาข้อมูลแล้วคิดเองว่าการทานยาคอเลสเตอรอล ที่ตัวเองเป็น มันอาจจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อได้ เป็นผลข้างเคียงจากยา พี่ไปบอกคุณหมอว่าพี่ปวด คุณหมอช่วยเปลี่ยนยาให้หน่อย คุณหมอก็เปลี่ยน เวลาเปลี่ยนทีนึงเราก็ต้องรอไปอีก 3 เดือน 6 เดือน ว่าเราโอเคกับตัวนี้ไหม ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภายใน 2 ปี จนหมดกลุ่มยานี้ คุณกวางคุณหมอจะเปลี่ยนยาที่อ่อนลงแล้วนะ เพราะว่าคุณกวางยังไม่หายปวดใช่ไหม ถ้าหมอเปลี่ยนคราวนี้คุณกวางต้องระวังเรื่องอาหารด้วยนะ เดี๋ยวคอเลสเตอรอลมันขึ้น เพราะยามันอ่อนละ ถ้าไม่หายอีกไม่ใช่ยาหมอแล้วนะ แต่ก็ไม่หาย เลยไปหาหมอกระดูก คือใครจะไปคิดพี่เป็นคนแข็งแรง พี่ไปขี่จักรยาน 23 โล กับพี่น็อตกับลูกได้ มันก็แค่เมื่อย เราอายุมากขึ้น แล้วพี่ผ่าตัดปีกมดลูก รังไข่ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พูดง่ายๆ อายุมากขึ้นอาจจะทำให้เมื่อย เพราะฉะนั้นเราต้องออกกำลังกายสิ”

“หลายเดือนเลยที่ปวดแล้วดึกๆ ยิ่งเราอยู่นิ่งๆ รู้สึกเลยว่ามันปวด ดึกๆ เอาขาเหยียบตัวเอง เอาขาข้างซ้ายเหยียบข้างขวา แล้วยืดขาขึ้นมา อะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่ามันหายตึง ก็ไปหาหมอ คุณหมอก็สันนิษฐานว่าอย่างนี้ๆ แต่หมอบอกว่าจะให้ฟันธงได้ ต้องทำ MRI เราไม่ได้กลัว MRI นะ แต่เอาไว้ว่างก่อน ก็ไปต่ออีก 6 เดือน จนเมื่อต้นปีนี้ พี่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว มันแย่ลง วันนั้นปวดมากด้วยก็ไปหาหมอ ก็ได้ยาแก้ปวด แล้วทำ MRI เลย ผลออกมาชัดเลย ก็น่าตกใจนะ หมอนรองอยู่ระหว่างกระดูก หมอนรองตรงจุดที่มีปัญหามันเสื่อมสภาพ แล้วมันก็ดำ แล้วบางลงแล้วปริ้นไปชนเส้นประสาทด้านขวา ถ้าปล่อยไว้อาจจะเดินไม่ได้ ใช่ๆ ก็ค่อยๆ มากขึ้น เดินไม่ได้หมายความว่ามันปวดมาก สุดท้ายก็อาจจะถึงขั้นผ่าตัด คุณหมอก็บอกว่าไม่จำเป็นไม่อยากให้คุณกวางผ่าตัด จะรักษาแบบประคับ ประคอง แต่คุณกวางต้องขยันในการทำกายภาพบำบัด แล้วคิดดูถ้าเรานั่งรถนานๆ มันมีท่าจำกัดเยอะมาก เราก็จะปวดเมื่อยมาก แล้วหลังพี่เพิ่งมารู้ เมื่อก่อนพี่รำละครได้ หลังจะตรง แล้วแอ่น แต่ตอนนี้แอ่นไม่ได้เลย “

กวาง เล่าต่อว่า “ในอดีตเคยตกบันไดถึง 2 ครั้ง  จริงๆ มากกว่านั้น เมื่อก่อนตอนอายุไม่มาก เราเล่นละครสมบุกสมบัน ส่วนใหญ่พี่จะเล่นละครที่โดนกระทำ แล้วยากจน คนจนมันลำบาก อยู่ป่า อยู่เขา อยู่ดอย ถูกตบต่างๆ เราก็สะสมในการกระแทกต่างๆ มาเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ตัว แล้วชอบปีนต้นมะยม เก็บมะม่วง มีคนเตือน แต่พี่กวางก็ดื้อ ต้องโทษตัวเองนะคะ เพราะตอนเด็กๆ ชอบเป็นเซียนกระโดดหนังยาง ป.4กระโดดหนังยางคางแตกเลย เย็บ 5 เข็ม เป็นอย่างนี้มันคงสะสมเรื่อยๆ จนถ่ายละครเรื่องสุดท้ายที่พี่เล่นร้ายมากๆ จะรีบไปถ่ายละคร ใส่ส้นสูงแล้วลื่น ตกบันไดหน้าบ้านมา 5 ขั้นมากองอยู่ข้างล่าง แล้วมันลุกไม่ขึ้น จุกหลังไปหมด เลือดไหลที่มือ แต่ไปถ่ายละครต่อ กลัวไปไม่ทัน บทเราเยอะ เราต้องเล่นฉากแรก แล้วก็ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาย พี่ว่าอันนั้นน่าจะเป็นจุดนึงที่มันหนัก เรื่องตกรถไฟ ตกรถไฟปลายปีที่แล้ว ไปเที่ยวกาญจนบุรี ชอบถ่ายรูป น้ำตกไทรโยคน้อยมันจะมีรถไฟโบราณน่าจะมาจากสมัยสงครามโลกเขาจอดไว้ พี่อยากถ่ายรูปมาก ไปน้ำตกเสร็จแล้วออกมา ไปถ่ายรูป พอถ่ายเสร็จจะลง มันมีบันไดเหล็ก 3-4 ขั้น จำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าสูง แล้วพี่มองบันได เราจะเดินลงหรือหันก้นลงดี ทันใดนั้นพี่รู้สึกว่าพี่ถูกถีบ มันเร็วมาก เหมือนพี่ตกลงไป ลงยังไงไม่รู้แขนผิดรูป ผิดร่างไปหมด เพื่อรักษาหน้าเอาไว้เพราะมันมีฟุตบาทห่างกันประมาณ 1 เมตร ตอนนั้นพี่คิดแล้วว่าหน้าพี่เสียโฉมยับเยินแน่นอน เพราะมันเป็นปูน แล้วพี่ก็เรียนรู้ว่าอุบัติเหตุผิดรูปผิดร่างมันเป็นอย่างนี้ พี่ลุกไม่ขึ้น เจ็บมากกว่าตกบันไดที่บ้านอีก พี่น็อตมาฉุดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือเจ็บมาก แต่มันบวกอายไง เพราะมีนักท่องเที่ยวมายืน”

 พี่ไปนั่งข้างฟุตบาท พี่ลุกไม่ขึ้นจริงๆ ไปยังคนที่หัวเราะ แคร์เขามากกว่าเจ็บอีก แต่จริงๆ เจ็บมาก เรามีนัดไปล่องแพตอนเย็น เดี๋ยวไปไม่ทัน พี่น็อตไปแวะร้านขายยาหน่อย ไปซื้อพวกยาแก้ปวดกิน แล้วยาทาที่ช้ำ ตอนเย็นพี่ก็ไปล่องแพอีก ลงน้ำด้วย ก็ปวดนะ แต่ก็เล่น เพื่อให้ลูกสนุก พี่ไม่อยากพูดออกทีวีเลย มันเหมือนพี่งมงาย พี่ไม่รู้นะ แต่พี่ไม่ได้กระโดด พอเดินขึ้นรถพี่ก็หันมามองรถไฟ เขาคาดผ้าสีๆ แล้วพวงมาลัยเต็มเลยอยู่ข้างหน้า แล้วมีป้ายเขียนว่า รถไฟสายมรณะ กวางบอกพี่น็อตกวางไม่เห็นตรงนั้น ไม่งั้นกวางไม่กล้าขึ้น กวางเห็นไหมไม่มีใครเขาขึ้นไปเลย คิดว่าเขามาจอดแบบนี้เขาต้องให้ถ่าย พี่ก็คิดว่า สิ่งที่มองไม่เห็น คืนนั้นพี่ก็ไหว้ใหญ่เลย สวดมนต์ขออโหสิกรรม ก็แอบคิดไปในแนวนั้น อย่างพี่น็อตเอง เขาเคยชินกับพี่ว่าพี่ไม่เป็นอะไร แล้วพี่ก็เหมือนไม่เป็นอะไร ร่าเริง เล่นดีดกีต้าร์ แต่แต่รู้สึกว่ามันนั่งขยับบ่อยแล้วพี่ก็เลยบอกพี่น็อต แต่พี่ก็ยังหัวเราะอยู่ ทุกคนก็บอกว่านี่เหรอคนป่วย พี่มีความคิดว่า คนเราป่วยได้ทุกคน เวลาเราเจอ เราเป็นอะไร เราก็รักษา ตอนนั้นหมอบอกว่าพี่เนื้องอกในมดลูก”

“ถามว่าเจอได้ยังไง ถ่ายละครละครเรื่องสุดท้ายที่เล่นร้ายนี่แหละ มันหลายอย่างมาก บทก็เครียดมาก ปวดฉี่บ่อย ซึ่งเรารู้อยู่แล้วเรามีเนื้องอกไม่ใหญ่ ก่อนหน้านั้นเราตรวจทุกปี โดยเฉพาะ เต้านม และมดลูก เรารู้แล้วว่ามีเนื้องอกในมดลูก แต่เล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงที่อยู่ในวัยนี้ เดี๋ยวมันก็ฝ่อเมื่อประจำเดือนหมด แต่ตอนนี้มันยังไม่หมด มันเลยยังไม่ฝ่อ เราเลยปล่อย เพราะมันทำอะไรไม่ได้ จนมันไปดันกระเพาะปัสสาวะ หมอบอกว่าถ้ามันไปดันกระเพาะปัสสาวะ มันจะทำให้เราใช้ชีวิตลำบากนะ ปวดท้องบ่อย หมอแนะนำให้ผ่าเอาออกให้หมดเลยก็ดี เดี๋ยวมันไปงอกที่รังไข่ ปีกมดลูกอีก แล้วอยู่ในวัยที่เราใกล้ๆ จะหมดแล้ว 2 วันพี่ตัดสินใจไปผ่าเลย 4 เซ็น พอผ่าแล้ว เราต้องรับผลกระทบจากการผ่า มันจะมีผลกับพวกฮอร์โมน ไม่รู้ว่าติดเชื้อที่ไหน พี่คิดว่าเป็นโควิด ไข้ขึ้นสูง ไปหาว่าติดเชื้อที่ไหน ก็ตรวจอีกเยอะเลย สุดท้ายก็ติดเชื้อนั่นแหละ แต่หมอไม่ได้บอกว่าจุดไหน แอบเดาเอาเองว่ากระแสเลือดหรือเปล่า ทำไมมันเยอะ เม็ดเลือดขาวมันตกมาก แต่สุดท้ายก็หายจนบัดนี้ยังไม่เป็นโควิดเลย แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้ทานแคลเซียม ซึ่งมันสำคัญกับกระดูก เพราะเราผ่าปีกมดลูก รังไข่ออก ฮอร์โมนอะไรมันเปลี่ยน มันไปมีผลต่อกระดูก กระดูกพี่เริ่มบาง หมอให้ตรวจมวลกระดูก ปรากฏว่ายังไม่พรุนแต่บางมาก เกือบพรุนแล้ว แนะนำให้ทานแคลเซียมที่มีวิตามินดีด้วย หรือถ้าไม่ทานวิตามินดีก็ต้องไปตากแดดบ้าง ตอนนั้นโควิดระบาดหนักพี่ก็ไม่ออกไปไหนเลยไม่ตากแดด ทำให้แคลเซียมดูดซึมได้ไม่ดี”

“เรื่องถุงน้ำใต้เต้านม อันนั้นเล็กๆ จิ๋วๆ ถุงน้ำหลายถุงเลย แล้วก็หลายปีมาแล้ว มันดูไม่กลายพันธุ์หรือหน้าตาผิดปกติ กรรมพันธุ์ไม่มีที่เป็นเนื้อร้าย พี่ว่าต้องฝ่อแล้วแหละคิดเองๆ เพราะตัดไปหมดแล้ว อย่างงานละครปฏิเสธไป ต้องขอโทษทุกคนที่ติดต่อ ที่ปฏิเสธมันมีเหตถผล ในแต่ละช่วงงานบันเทิง งานละคร มันซึมเข้าไปในสายเลือด วันนี้พี่ยอมรับเลนฝยว่ารักวงการ ยังวนเวียนไปไหนไม่ได้ เพราะแฟนคลับสนับสนุนให้การต้อนรับ ผู้จัดต่างๆ ยังให้ความเมตตา แต่ชีวิตของเรามันจะมีจังหวะชีวิต ช่วงนึงที่เล่นร้ายก็จะมีบทร้ายๆ ติดต่อมา 1.เป็นบทร้ายๆ ซ้ำๆ 2.ลูกจะเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเป็นมนุษย์แม่ต้องเข้าใจต้องพาไปเรียนพิเศษ ต้องเฝ้า ต้องรอ พี่น็อตก็ทำงาน ต้องสลับกัน ถ้าช่วงพี่เล่นละครพี่น็อตต้องมาตามลูก จนกระทั่งลูกเข้าได้แล้ว ปี1 ทุกอย่างดีขึ้น เดี๋ยวจะรับละคร จะลุย ดันมาเป็นที่หลังอีก กลัวทำงานให้เขาไม่เต็มที่ กลัวงานเขาเสีย ตอนนี้ก็รีบกายภาพวันเว้นวัน แพลนชีวิตใหม่เลยว่าเราทำอะไรได้บ้าง มันมีโปรเจกต์ในสมองเราเยอะมาก นอกจากงานแสดง เช่น ผู้ใหญ่ชวนไปสอนพิเศษที่มหาวิทยาลัย จะออกแนววิชาการ แต่สุดท้ายยังไม่ได้ทิ้งวงการ แต่เรื่องละครจากที่เล่นบทเยอะๆ ต้องถ่ายทั้งวัน ต้องมีทุกฉาก ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่ามีทุกตอน แต่ตอนนึงไม่ต้องเยอะก็ได้ พอสุขภาพเราเป็นแบบนี้ เราเริ่มยอมรับว่าเปลี่ยน แต่ยังต้องเป็นบทที่เราอยากเล่นด้วย”

“พี่น็อตเองก็มีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ เห็นพี่น็อตเล่าให้ฟังว่าพี่น็อตติดโควิด ที่น้าค่อม เสียชีวิต ตอนนั้นเป็นเดลต้า จะหนักนอนโรงพยาบาลเป็น 10 วัน ตอนนั้นออกมาจากโรงพยาบาล มาบอกกวาง ชีวิตคนเราไม่แน่นอนเนอะ จะไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหมือนซึมเศร้า ก็บอกว่าพี่น็อตอะไรจะขนาดนี้ พี่อยู่คนเดียวในโรงพยาบาล ไม่ให้หมอ พยาบาลเข้า เขาก็จะวางข้าวไว้ แล้วพี่น็อตเป็นคนไม่ค่อยพูดด้วย เขาหดหู่มาก ถ้าพี่เป็นอะไรไปกวางก็คงจะดูลูก สักพักเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ระวังกันหมด ก็เลยทราบว่าคนที่เป็นโควิดแล้ว บางคนอาจจะมีผลทำให้เชื้อโรคอาจจะกระตุ้นสิ่งอ่อนแอในร่างกาย มันโชว์ให้เห็นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น แต่พี่น็อตมีกรรมพันธุ์เป็นโรคหัวใจทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ช่วงหลังเขาหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นระยะๆ ซึ่งคุณแม่เขาเพิ่งเสียไปปีที่แล้ว เกี่ยวกับหัวใจเหมือนกัน เป็นถี่ขึ้น แล้ววันนั้นมีไข้ ก็ตรวจโควิดไม่เป็น พี่เลยบอกไปโรงพยาบาลเถอะ เขาก็ไป หมอก็ตกใจหัวใจเต้นผิดจังหวะจะตรวจเจอไหม เวลาตรวจมันอาจจะไม่เต้นผิดจังหวะก็ได้ คุณหมอก็เจาะเลือดไปตรวจ RTPCR เพื่อจะนอนโรงพยาบาล พบว่าเป็นโควิด แต่เป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย เป็นไปได้ว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะจากโควิด แล้วมันทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หมอบอกว่ามีหลายคนที่เป็นโควิดแล้วหัวใจเต้นผิดจังหวะ พอหลังจากเป็นโควิด พี่น็อตเป็นลองโควิด ชอบนึก ลืม เหนื่อยง่าย แล้วหลังๆ มาหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วก็พบว่าเป็นโควิดรอบ2 คุณหมอให้ทานยาละลายลิ้มเลือด เมื่อวานเพิ่งไปหาคุณหมอเฉพาะทาง ถ้ามันมากขึ้น คุมไม่ได้ อาจจะต้องใส่ท่อสอดเข้าไป แล้วไปช็อตๆ เพื่อให้มันกลับมาเต้นเป็นปกติ ดูเหมือนน่ากลัว แต่มันก็ไม่ถึงขั้นนั้น”