เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ท่าเทียบเรือบริษัท เรือเร็วลมพระยา จำกัด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะพะงัน ได้นำตัว น.ส.อเลน่า คุปริยาโนว่า (Ms.ALENA KUPRIYANOVA) อายุ 40 ปี นักท่องเที่ยวสาวสัญชาติรัสเซีย ผู้ต้องหาคดีทำร้ายเจ้าของร้านขายสินค้าออร์แกนิกบนเกาะพะงัน ส่งฟ้องศาลจังหวัดเกาะสมุย โดยแจ้งข้อหา ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก น.ส.สาธิกา (สงวนนามสกุล) กำลังตั้งท้องได้ประมาณ 8 เดือน ได้เปิดร้านชื่อ “สเปารท์” ขายสินค้าที่ทำมาจากธรรมชาติ ตั้งอยู่เลขที่ 65/5 หมู่ที่ 1 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 18 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา น.ส.อเลน่า ผู้ก่อเหตุ ได้เข้ามาใช้บริการโดยเดินสวมใส่รองเท้าเข้ามาในร้าน ทั้งที่หน้าร้านแขวนป้ายห้ามสวมรองเท้าเข้ามาในร้าน และเมื่อ น.ส.สาธิกา พยายามบอกโดยใช้ภาษาอังกฤษว่า ให้ช่วยถอดรองเท้าก่อนเข้าร้าน

แต่ฝ่าย น.ส.อเลน่า ไม่พอใจ ยกเท้าถีบ น.ส.สาธิกา ที่ขาขวาอย่างแรงถึง 3 ครั้งและที่ง่ามขาอีก 1 ครั้ง จนได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอก จากนั้นก็รีบหลบหนีไป ภายหลังมีการแจ้งตำรวจจับกุมตัวไว้ได้ โดยฝ่าย น.ส.อเลน่า พยายามยกมือไหว้ขอโทษ อ้างว่าอารมณ์ฉุนเฉียวเนื่องจากมีประจำเดือน ขณะที่ น.ส.สาธิกา ถามกลับว่า คุณไม่เห็นเหรอว่าฉันท้องอยู่ แต่คุณยังกล้าทำแบบนี้กับผู้หญิงตั้งท้องและยังกล้าทำแบบนี้กับคนไทย จึงต้องการให้ดำเนินคดีเฉียบขาด

ทั้งนี้เมื่อเจ้าหน้าที่คุม น.ส.อเลน่า ผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลจังหวัดเกาะสมุย ได้มีเพื่อนชายสัญชาติเดียวกันเดินทางมาด้วย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีอะไรจะพูดหรือขอโทษสิ่งที่ได้กระทำหรือไม่ ปรากฏว่าฝ่ายนักท่องเที่ยวสาวชาวรัสเซีย กลับไม่ยอมพูด อีกทั้งมีปฏิกิริยาไม่พอใจที่ถูกช่างภาพที่มาถ่ายภาพ ขณะเดินขึ้นรถไปยังศาลจังหวัดเกาะสมุย

สำหรับ น.ส.อเลน่า เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางด่านควนโดน ตม.จว.สตูล เมื่อวันที่ 23 ก.พ.67 ได้รับอนุญาตประเภท ท่องเที่ยว (ผ.ผ.90) อนุญาตถึง 22 พ.ค.67 โดยหลังจากเกิดเรื่องนักท่องเที่ยวทำร้ายร่างกายหญิงสาวชาวไทย ทาง พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้สั่งกำชับพนักงานสอบสวน ให้รวบรวมพยานหลักฐาน ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การแจ้งข้อกล่าวหาต้องใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ และให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาตามสิทธิต่างๆ อันพึงได้รับตามกฎหมายต่อไป กรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เสนอไปยังตรวจคนเข้าเมืองสุราษฎร์ธานี ขอให้พิจารณาเพิกถอนวีซ่าอีกด้วย.