เมื่อวันที่ 18 เม.ย. โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระเเสข่าวว่ามีการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ให้ออกจากราชการ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยว่า เรื่องการตั้งกรรมการและการให้ออกจากราชการ ขอย้อนไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ที่ตนเคยได้แถลงต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภา ทุกอย่างขอให้เป็นตามกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมายและกฎก.ตร. จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 18 เม.ย.67 มีการรายงานพฤติการณ์แห่งคดีประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีและทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ ก็ได้รายงานการต้องคดีตามระเบียบดังกล่าวเช่นเดียวกันไปยังกองคดีอาญาของกองกฎหมายและคดีเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกองคดีอาญาได้รายงานตนเพื่อทราบ ตนได้รับทราบให้กองวินัยได้พิจารณาไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎ ก.ตร.

รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการถึงพฤติการณ์แห่งคดีกับความร้ายแรงของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิจารณาในรายงานของคณะพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ตั้งขึ้นมา และกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้รายงานมาด้วยว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และข้าราชการตำรวจอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน ได้กระทำผิดอาญาจริงจึงได้มีการเสนอความเห็นให้ผมปฏิบัติตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในมาตรา 131 ซึ่งเป็นกรณีที่ข้าราชการตำรวจต้องหาคดีอาญา ประกอบกับมาตรา 112 ในรายละเอียดแห่งการพิจารณาว่าจะกระทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ประกอบกัน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า การพิจารณาได้พิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายว่าพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงขนาดไหนซึ่งการพิจารณาแล้วพบว่ามีความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากการกระทำผิดซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาจากการที่ศาลได้ออกหมายจับ ทั้ง 5 ราย จึงจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จากนั้นเห็นแล้วว่าพฤติกรรมต่างๆ และการสอบสวนของคณะกรรมการจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็วจึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นไปตามกฎก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน

รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า การลงนาม ตนในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนมีอำนาจตามมาตรา 105 และ 108 ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งรักษาราชการแทนมีอำนาจเช่นเดียวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อกองวินัยเสนอขึ้นมาผมจึงเป็นผู้ลงนาม ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในคำสั่ง 2 คำสั่งนี้ ซึ่งขั้นตอนจะต้องรายงานนายกรัฐมนตรีเนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และทางปลัดสำนักนายกฯ ได้มอบหมายหน้าที่การงานให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบและสำนักงานปลัดสำนักงานนายกได้มีหนังสือส่งตัวกลับโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ส่งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามขั้นตอนแล้ว

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยืนยันว่าได้เซ็นคำสั่งตั้งกรรมการและคำสั่งให้ออกจากราชการกับตำรวจทั้ง 5 นาย เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.67 ซึ่งกระบวนการออกจากราชการยังถือว่ายังต้องดำเนินดำเนินการตามกระบวนการต่อไปของพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติตอนนี้ได้มีการออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อันเนื่องมาจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงและมีการออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนซึ่งเป็นไปตามการพิจารณาตามกฎก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่เริ่มกระบวนการและขอขยายเวลาภายใน 270 วัน หากไม่แล้วเสร็จเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด

รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ซึ่งได้ตั้งให้ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานในการดำเนินการสอบวินัย ทั้งนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสิทธิ์ที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งทาง พล.ต.อ.สราวุฒิ จะต้องให้โอกาส พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎก.ตร. ขณะเดียวกันทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะใช้สิทธิ์ในการร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่าบิ๊กโจ๊กทราบเรื่องแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองวินัยและคณะกรรมการจะต้องแจ้งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทราบ

เมื่อถามว่าการตั้งคณะกรรมการดังกล่าวหลายฝ่ายอาจมองว่าเป็นกลาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า คุณสมบัติของคณะกรรมการเป็นไปตามที่กำหนดในกฎก.ตร.ทุกประการ แต่ถ้าหากว่าผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่เป็นกลางหรือมีกรณีที่อาจจะเสียสภาพความร้ายแรงได้ ท่านอาจจะใช้การโต้แย้งได้

เมื่อถามว่าหากมีการร้องไปยังศาลปกครอง เอาผิดคณะกรรมการและอาจมาถึง รรท.ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เราพิจารณาไปตามกรอบของกฎหมายและกฎก.ตร. ทุกประการ ความเคลื่อนไหวในการจัดฟ้องร้องหรือดำเนินการอะไรกลับมาถือว่าเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำได้หากถามว่าหวั่นไหวหรือไม่ ตนขอบอกว่าไม่มีความหวั่นวิตกหรือหวั่นไหวใดๆ เพราะถือว่าในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง กฎก.ตร.ที่เกี่ยวข้อง ทุกประการ

“ผมไม่ได้ปุ๊บปั๊บที่จะพิจารณา แต่เราพิจารณามาเป็นเวลาพอสมควร ซึ่งข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดี และความร้ายแรงของคดีปรากฏเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่มีการผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว จึงจำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัย นายกรัฐมนตรีได้ให้ดำเนินการไปตามกฏหมาย ระเบียบคำสั่ง อย่างเคร่งครัดและรอบคอบ” รรท.ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวยืนยันว่า ตนเองไม่ได้รับใบสั่งจากใคร ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงที่เกิดขึ้น และตนเองเพราะไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ส่วนความเป็นธรรมมีอยู่แล้วเป็นสิทธิ์ที่ พล.ต.อ.สุเชษฐ์ สามารถร้องทุกข์หรืออุทรณ์ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน แต่จะดึงตนเองเป็นคู่ขัดแย้งนั้น มองว่าถ้าเกิดขึ้นจริงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถูกมอบหมายให้เป็น รรท.ผบ.ตร.ต้องอยู่ในจุดที่ต้องพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่กลัวการถูกเช็คบิลหรือเอาคืนหลังจากนี้ เพราะตนเองทำทุกอย่างตามอำนาจหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและให้เกิดความเป็นธรรมกับองค์กรนี้ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวไม่ได้คาดหวังเรื่องเป็นตัวจริง ผบ.ตร.คนต่อไป แต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ส่วนคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ตอนนี้เป็นคดีอยู่ที่ สน.เตาปูน ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคดีของ ผบ.ตร. นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเป็นตำแหน่ง ผบ.ตร.