เมื่อวันที่ 22 ก.ค. แฟนเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2 ได้โพสต์ข้อความระบุว่า เก็บข่าเพื่อเอาไปแกง ยายถูกข้อหาลักทรัพย์ ก.ม. คือ ก.ม. แต่ถ้า นิติศาสตร์มันควบคู่ไปกับรัฐศาสตร์ได้มันคงจะดีมาก วอนผู้ใหญ่ใจบุญช่วยลงมาช่วยดูแลช่วยยายหน่อย ยายวัย 70 เก็บข่าข้างทางถูกแจ้งข้อกล่าวหาฐานลักทรัพย์ วอนผู้ใจบุญ ช่วยเหลือยายด้วยครับ

ล่าสุดวันนี้ทางผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ บ้านนาเหมือง ต.พังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร เพื่อไปพบนางฉวีวรรณ ไทยเหนือ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อความสะดวกในการนำทรัพย์นั้นไป และเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกับให้การปฏิเสธมาแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.ค.65 ที่ สภ.พังโคน

นางฉวีวรรณ เล่าว่า วันที่เป็นเรื่องคือวันที่ 11 มิ.ย. 65 ช่วงเช้าตนได้ไปเก็บหน่อข่าประมาณ 1 กำมือ มาประกอบอาหารบริเวณที่ดินสาธารณะ ใกล้ๆ บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านทั่วไปหาอยู่หากิน ซึ่งมีถนนกั้นระหว่างที่สาธารณะ กับที่มีโฉนด ยืนยันว่าตนเองนั้นเก็บหน่อข่าในที่สาธารณะ ระหว่างนั้นเอง มีคนโทรฯ ไปบอกคู่กรณี และขับรถมาเห็นระหว่างที่ตนเองกำลังเก็บหน่อข่า ซึ่งกำลังจะขี่ จยย.กลับบ้าน จึงมีปากเสียงกันตรงบริเวณที่เก็บหน่อข่า จากนั้นตนก็กลับบ้านไป ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ และถูกยึด จยย.เป็นของกลางไว้ จึงอยากขอความเป็นธรรม เพราะวิตกกังวลอย่างมากกลัวจะติดคุก

ส่วนคู่กรณี (สงวนนาม) เพื่อนบ้านหมู่บ้านเดียวกันที่เป็นคนแจ้งความ ยืนยันว่า วันเกิดเหตุมีคนเห็นนางฉวีวรรณเข้าไปเก็บหน่อข่าในที่ของคนในหมู่บ้าน ซึ่งตนได้ซื้อข่าที่ปลูกไว้ทั้งหมด เมื่อไปเห็นพบนางฉวีวรรณ กำลังจะกลับพร้อมหน่อข่า จึงมีปากเสียงกันจริง ส่วนหน่อข่าถือเป็นทรัพย์สินของตน และตนเรียกค่าเสียหาย เมื่อไม่ชดใช้ คุยกันไม่ได้ จึงต้องแจ้งความดำเนินคดี

ด้าน พ.ต.อ.ภิญโญ สุทธิสาร ผกก.สภ.พังโคน กล่าวว่า ก่อนที่จะเป็นคดีความนั้น ทางผู้ใหญ่บ้านได้เป็นคนกลางที่จะพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องดังกล่าวอยู่หลายครั้ง เพื่อหาทางออก แต่ต่างคนไม่ยอมกัน เพราะทราบมาว่าทั้งคู่ไม่ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทางฝั่งนึงก็จะเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000 บาท แต่อีกฝั่งก็อ้างว่าเก็บหน่อข่าในที่สาธารณะ ไม่ได้เก็บในที่ของคนอื่น และไม่มีเงินจะชดใช้ ส่วนประเด็นที่ว่าตำรวจไปเรียกรับเงินผู้ต้องหาเพื่อจ่ายให้จบเรื่อง เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ พนักงานสอบสวนได้แจ้งกลับนางฉวีวรรณ ไปว่า ผู้เสียหายเรียกค่าเสียหาย 5,000 บาท ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เรียกรับเงินเองแต่อย่างใด ส่วนรถที่ยึดไว้เป็นของกลาง ตรวจพบ จยย.ถูกระงับทะเบียน แต่หากมีเอกสารมายืนยันการครอบครอง ก็ประกันรถออกมาได้

พ.ต.อ.ภิญโญ ยังกล่าวต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ก็อยากให้หาทางออกจบด้วยดี เพราะเป็นเรื่องคนในหมู่บ้านเดียวกัน และวันนี้ทั้งคู่กรณีมาเจอกัน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน และสื่อ ก็พยายามหาทางออกช่วยกัน แต่เหมือนจะคุยกันได้ในตอนแรก แต่พอเข้าไปคุยกันในห้องก็ไม่ลงรอยกัน ทางฝั่งผู้เสียหายก็เลยยืนยันเรียกค่าเสียหาย 5,000 บาท ส่วนอีกฝั่งก็ยืนยันว่า ไม่ได้ทำผิด ถ้าชดใช้เพียงเล็กน้อยสมเหตุสมผลได้ แต่ 5,000 บาทคงไม่ไหว เพราะฐานะยากจน  ในเมื่อจบลงไม่ได้ สรุปต่างฝ่ายก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ไปสู้กันในชั้นศาล ทาง ผกก.จึงกำชับพนักงานสอบสวน ต้องให้ความเป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย ในเรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าว