เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 มี.ค. ที่ห้องบอลรูม ชั้น B1 โรงแรม Park Hyatt Bangkok นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา UK-Thailand Financial Conference ภายใต้หัวข้อ “The Changing Roles of the Financial Sector in Thailand’s Economic Development” 

โดยนายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษบทบาทของภาคการเงินในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยภาคการเงินถูกมองว่าเป็นตัวกลางระหว่างผู้ฝากและผู้กู้ยืม ผู้อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม และผู้จัดการความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ภาคการเงินได้มีวิวัฒนาการกลายมาเป็นภาคส่วนที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

นายกฯ กล่าวเน้นย้ำความสำคัญบางประการของภาคการเงินต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล คือ 1.การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน (Digitalization) ซึ่งในภาคการเงินมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ของโลกที่นำระบบพร้อมเพย์มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการชำระและโอนเงิน ส่งผลให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านการทำธุรกรรมทางโทรศัพท์ (mobile transactions) และ E-commerce 

นายกฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลมุ่งมั่นขยายความเชื่อมโยงให้ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มเติม รวมถึงผลักดันกรอบการดำเนินงานที่ครอบคลุมการออกใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) 2.ความยั่งยืน รัฐบาลมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พันธบัตรเพื่อพัฒนาสังคม พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน พันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวมถึงกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายกฯ กล่าวอีกว่า 3.ประชากรสูงวัยโลก ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มที่ทำให้ในปี 2577 ไทยจะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 28% ของประชากรทั้งหมด โดยภาคการเงินมีบทบาทในการจัดการเงินบำนาญอย่างรอบคอบ พร้อมจัดหาผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงดึงดูดให้เกิดการออมมากขึ้น ทั้งนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงในภาคการเงินของไทย โดยพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยยังคงแข็งแกร่งและฟื้นตัวได้.