เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์พายุที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 2 ลูก ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า พายุโซนร้อน ‘ไลออนร็อก’ ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวตอนบนแล้ว และขณะนี้หย่อมความกดอากาศต่ำได้เคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักถึงหนักมาก กอนช. ประสานหน่วยงานเฝ้าระวังพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบตลอด 24 ชม. ในส่วนของพายุโซนร้อน ‘คมปาซุ’ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ทางด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ จากการประเมินและวิเคราะห์โดย กอนช. พบว่า พายุนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งเวียดนาม ประมาณวันที่ 14 ต.ค. ซึ่งคาดว่าด้วยอิทธิพลจากหย่อมความกดอากาศสูง พายุ ‘คมปาซุ’ จะมีแนวโน้มอ่อนกำลังลงเช่นเดียวกับพายุ “ไลออนร็อก”

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 11-17 ต.ค. คาดว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงตลอดช่วง รวมทั้งในช่วงวันที่ 12-16 ต.ค. คาดว่า ร่องมรสุมจะพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมจากพายุทั้ง 2 ลูก ทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือ จะส่งผลดีในการเติมน้ำให้แก่แหล่งน้ำ อาทิ เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งปัจจุบันยังมีปริมาณน้ำไม่มาก คาดว่าปริมาณฝนจะตกไม่มากนัก จนส่งผลกระทบซ้ำเติมในพื้นที่ซึ่งยังคงประสบปัญหาอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ ทั้งในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีติดตามสถานการณ์ในระยะนี้อย่างใกล้ชิด และภายหลังวันที่ 18 ต.ค. ปริมาณฝนจะเริ่มลดลงตามลำดับ นอกจากนี้ กอนช. ยังได้ติดตามพายุโซนร้อน ‘น้ำเทิน’ ซึ่งมีศูนย์กลางยังอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก กำลังเคลื่อนตัวทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และวกกลับไปทางทิศเหนือ ซึ่งต้องประเมินทิศทางของพายุลูกนี้ต่อไป