ยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับเรื่องราวรักร้าวของ “นัท มีเรีย” และ “อั้ม อธิชาติ” ที่หลังจากเกิดข่าวลืออื้อฉาวถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาระยะหนึ่ง จนเป็นที่พูดถึงกันไปอย่างมากมาย กระทั่ง นัท มีเรีย ออกมาแถลงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและหนุ่มอั้ม ว่าเลิกรากันมาพักหนึ่งแล้ว เหลือเพียงความหวังดีแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน

ล่าสุดในรายการ คุยแซ่บshow ช่อง one31 อั้ม อธิชาติ ได้ออกมาเปิดใจเคลียร์ทุกประเด็นเป็นครั้งแรก พร้อมควงแขนคุณแม่สุดที่รักมาอัปเดตอาการป่วย เล่าที่มาของการเข้าวงการของลูกชาย

คุณแม่ เผยว่า “คุณแม่เข้าโรงพยาบาลหลายรอบเลยเพราะกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นมาเกือบ 10 ปีแล้ว แม่ชอบกินข้าวเยอะๆ แค่ข้าวกับน้ำปลาก็อร่อยแล้ว ตอนนี้ก็พยายามควบคุมอาหารอย่างที่คุณหมอแนะนำ ถามถึงสาเหตุหลักๆ มาจากความเครียดด้วย เห็นจากการคอมเมนต์หรือเปล่า คือปกติคุณแม่ไม่ค่อยอ่าน ลูกก็บอกคุณแม่อย่าอ่านเนาะ เขาเป็นห่วง จุกและเครียดเห็นคอมเมนต์อ่านแล้วร้องไห้ และก่อนหน้านี้คุณแม่มีอาการกำเริบเกือบเสียชีวิตสองครั้ง ลูกคือห้ามเยอะมากของทอด ขนมเค้ก ปาท่องโก๋ แล้วอาการที่เราเป็น ผู้เฒ่าผู้แก่แบบแม่ก็มีอาการแบบนี้แต่เขาจะไม่ทราบว่าเป็นกรดไหลย้อน เขาจะสับสนว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหัวใจ บางคนต้องไปเปลี่ยนเส้นบายพาสหัวใจ ถ้าถามถึงความดื้อ คุณแม่ดื้อ ลูกก็ดื้อ คือเขาเป็นดื้อเงียบ ไม่พูด เราก็เคยถือไม้เรียวเพื่อจะไปตีเขาบนห้อง แต่ก็ต้องวางไม้เรียวแล้วก็ไปร้องไห้ ซึ่งวิธีจัดการก็คือแม่ก็ไม่ตอแย อยู่บ้านเดียวกันแต่เขียนจดหมายแล้วก็ใส่ในชั้นเสื้อผ้าให้เขาอ่าน ซึ่งบางครั้งเขาก็ตอบบางครั้งก็ไม่ตอบ สาเหตุที่แม่ดันอั้มเข้าวงการ ตอนนั้นก็คืออยากให้เขาลอง คุณแม่พยายามตามสุดฤทธิ์ ระหว่างที่รอการถ่ายทำ เขาก็พยายามสะกิดให้เรากลับเถอะ ใจเขาไม่อยาก เมื่อก่อนคือต้องไปกับเขา สาเหตุที่ไปเพราะเขางอแงไม่อยากมากอง อีกเรื่องหนึ่งที่เราตัดสินใจโกนผมบวชที่อินเดีย เพราะผ่านการตายคือจริงๆ ผ่านการบวชมาสามครั้งแล้ว คืออั้มเป็นคนพาไปบวชที่อินเดีย บวชตรงปฐมเทศนาอยู่ที่นั่น 9 วัน แล้วก็กลับมารักษา เดินเท้าอยู่ที่จังหวัดสุพรรณฯให้ครบเดือน สำหรับเรื่องความรักของลูกเราเห็นเขาแบบนี้ จริงๆ เขาก็ซ่อนความรู้สึก เขาไม่ค่อยพูด เขารู้ว่าแม่เป็นยังไงไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเล่า เพราะครั้งหนึ่งเราก็เคยน้อยใจลูกเวลาไปไหนทำไมถึงไม่ชวนแม่ไป ไปวัดไปอะไรก็บ่นกับเขา ก็อยู่เป็นกำลังใจให้ลูกชายตลอดเวลา”

อีกทั้งอั้มเผยว่า “ซึ่งคุณแม่เป็นคนเอ็นจอยกับการทานมากๆ แล้ววันหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่นครสวรรค์ วันนั้นโทรฯ มาแล้วบอกหายใจไม่ออก อารมณ์เหมือนจะไปแล้วและให้เราพยายามพาไปหาคุณหมอ คุณหมอก็ตรวจบอกว่าเป็นกรดไหลย้อน หลังจากนั้นคุณแม่ก็ควบคุมอาหารมาโดยตลอด มาดูแลตัวเอง สิ่งที่คุณหมอบอกคือต้องควบคุมอาหาร ห้ามเครียด ต้องออกกำลังกายให้เลือดไหลเวียน พอเราทราบอาการคุณแม่มาห้าหกปี พอเราได้เรียนรู้ เวลากรดมันขึ้นมาเราแยกไม่ออกว่าเป็นกรดหรือเป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดขึ้นตอนนั้นทานอาหารแล้วมือสั่นหน้าเริ่มซีด เราก็สงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็ได้มีการตรวจเอกซเรย์คลื่นหัวใจ ก็เลยต้องพาไปนอนโรงพยาบาล ซึ่งเราก็พยายามพาคุณแม่ออกกำลังกาย ทำสวน ก็บอกเขาอย่าอ่านคอมเมนต์ และก่อนหน้านี้คุณแม่มีอาการกำเริบเกือบเสียชีวิตสองครั้ง ตอนนั้นคุณแม่เขาก็ใจเสีย เพราะกลัวว่าจะไปหรือเปล่าเพราะเขาอายุมากแล้ว ส่วนของทอดต่างๆ คือเราให้กินแต่พอดีแต่มันไม่พอดีไง ก็เลยเกิดเหตุการณ์ที่หายใจไม่ออก แน่นก็เลยต้องพาไปหาหมอฉีดยาเข้าเส้น ตอนแรกเราไม่เคยเป็นเพราะไม่เข้าใจอาการ พอพาไปหาคุณหมอ แล้วคุณหมอบอกว่ามันไม่ใช่เล่นๆ นะ นี่คือก็เลยรีบจัดการทันที เพราะหายใจเฮือกๆ ตลอดเวลา

สำหรับตอนเด็ก ด้วยความที่แม่เลี้ยงตอนเด็กๆ คนคิดว่าเป็นตุ๊ดหรือเปล่า เพราะเราเรียบร้อย เรามีความเก็บกดอยู่ในใจพอขึ้น ม.4 อยากจะใช้ชีวิตแบบเพื่อนบ้านเตะบอล ก็มีผู้หญิงเข้ามาในโรงเรียน ก็ขอใช้ชีวิตของตัวเองแล้วตอนนั้นก็เกรดตกเลย แล้วก่อนหน้านั้นคือทะเลาะกันมาตลอด แล้วก็จากวันนั้นก็มาคิดได้ คือตอนนั้นที่เราไม่พูดเพราะเราคิดว่าพูดไปแม่ก็ไม่เข้าใจ แรกๆ ก็เขียนจดหมาย แต่หลังๆ มาเริ่มพิมพ์เพราะว่ามี LINE จริงๆ อั้มเข้าวงการเพราะคุณแม่ดัน ตอนนั้นคือเราไม่อยากเข้าวงการ ไม่ชอบการที่ไปแสดง เรารู้สึกว่ามันไม่จริงใจ ตอนนั้นไม่อยากเข้าวงการเป็นคนขี้อายมาก ตอนนั้นก็มีโมเดลมาถ่ายรูป ตอนนั้นไปก็หน้าหงิกตลอด คือเราไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ เพราะถ่ายรูปประกวดเสร็จปุ๊บ เราก็ไม่อยากไป ป่วย ไปถึงเสร็จปุ๊บแม่ก็ขึ้นไปแนะนำตัว ก็ไม่ได้ร้ายกับใคร เพราะเขาประกาศช่วงท้ายว่ารางวัลที่หนึ่งจะเป็นรถยนต์หนึ่งคัน จากง่วงๆ เราก็เริ่ม มีความอยากได้ คือเราเข้าวงการ คุณแม่ก็เตรียมให้หมด เมื่อก่อนเป็นคุณแม่เป็นคนดูแลเรา แต่ตอนนี้เราต้องดูแลคุณแม่ ซึ่งวิธีการดูแลของเราจุดมุ่งหมายหลักๆ คือการไหลเวียนข้างใน ถ้าเรานอนดี เจออากาศที่ดี ก็พยายามบอกคุณแม่ เราก็พาคุณแม่ไปอาบแดดตอนเช้า ก็ดูแลคุณแม่ด้วยรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมด้วย

สำหรับเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้มีเพจเมาท์แรงพระเอกเมาท์พระเอกตัวท็อปนอกใจภรรยา คือตอนนั้นอ่านด้วยสถานการณ์ที่เราอยู่ไม่ได้คิดว่าเป็นตัวเอง เรายังคุยงานกับคุณนัทอยู่ ตามปกติคุณแม่ก็ไปซื้อกับข้าวตามปกติ ผู้ช่วยก็บอกว่ามีข่าวมาเต็มฟีดเลยโยงเป็นเราว่านอกใจเตียงหัก เราก็ไม่คิดว่าเป็นเรา เพราะก่อนหน้านี้เวลามีข่าวเราก็จะถูกโดนโยงทุกครั้ง แล้วก็มีนักข่าวโทรฯ มาขอสัมภาษณ์หลายคน ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ใช่พี่มั้ง ไม่ใช่เราที่นอกใจ คือตอนนั้นไม่อยากให้สัมภาษณ์เพราะว่าไม่อยากให้เป็นข่าวอะไรใหญ่โต แต่พอนักข่าวบอกว่าอยู่ใกล้ๆ เราก็ให้มาสัมภาษณ์ได้ ซึ่งถ้ามีชนักติดหลังเราจะเรียกมาสัมภาษณ์ทำไม คือเราเลิกกันตามเวลาที่คุณนัทบอก แต่ตอนที่พี่บอกคือตอนนั้นยังไม่ได้เลิกกันวันที่ 1 ตุลาคม แล้วหลังจากนั้นก็โทรฯ ถามคุณนัทว่าเห็นข่าวไหม มันไม่ใช่เรานะ เค้าก็บอกว่าเห็นแล้วเดี๋ยวโทรฯ กลับเพราะกำลังจะไปทำงาน ซึ่ง 4 ตุลาก็จะมาออกรายการ วันที่ 2 แล้วก็ขอคุณนัทให้โทรฯ กลับมา ซึ่งเราออกรายการเราก็เลยบอกก่อน หลังจากเราเข้ารายการ คุณนัทได้โพสต์ ซึ่งเราก็คิดว่าอาจจะเป็นสิ่งที่คุณนัทโพสต์อยู่แล้ว คืนวันที่สองคุณนัทก็บอกว่ายังไม่พร้อมจะคุย ขอเวลาซักสองสามวัน คือเราก็เลยงงว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นก็เลยขอเวลายังไม่ออกรายการ ขอคุยปัญหาในบ้านก่อน สุดท้ายก็ได้คุย คือคุณนัทก็บอกว่าได้คิดมาหลายเรื่องแล้ว ขอยุติความสัมพันธ์ เราก็ถามว่าเป็นเพราะเรื่องไรบ้าง คือต้องขอบอกอย่างนี้พอช่วงระยะหลังๆ โตขึ้น เราก็มีอะไรหลายๆ อย่าง คุณนัทก็อยากใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง เราก็อยากใช้ชีวิตอย่างหนึ่งมีความต้องการที่แตกต่างกันทั้งสองฝั่งเพราะฉะนั้นคุณนัทก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นที่เราคุยกัน ผมก็เลยบอกว่างั้นกลับมาคุยกันที่บ้านได้ไหม มานั่งคุยกันเห็นหน้ากันชัดๆ ว่าเราจะยังไง ก็เลยได้คุยกันวันที่ 9 ตุลาคมแบบเจอตัว ก็ได้คุยกันวันนั้น คือเราใช้ชีวิตกันมามากแล้ว ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามาก เรามีทั้งผิดพลาดมากมาย มีทุกข์และสุขมามากมาย วันนั้นที่เราคุยกันพี่ก็ถามว่ามีปัญหาของเรื่องมือที่สาม คุณนัทก็ตอบว่าไม่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม เป็นการยุติความสัมพันธ์ด้วยการเข้าใจ มันเริ่มมีความต่างๆ ในหลายๆ เรื่องเราสองคนรู้ดี อยากให้เรายุติความสัมพันธ์ในแบบที่เป็นเพื่อนเจอกันแบ่งปันทักทายกันได้แบบนี้ดีกว่า นั่นคือสิ่งที่เราคุยกัน เพราะวันนั้นเราไม่ได้คุยกันเยอะ เราต่างเคารพการตัดสินใจร่วมกันจริงๆ

หลังจากวันที่ 9 ตุลาคมก็ขอเวลานิดหนึ่งเพื่อย้ายของออก ก็เลยย้ายของจากบ้านวันที่ 13 ตุลาคม ถ้าตามไทม์ไลน์พี่ก็อยู่ตามปกติอยู่ แต่มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลย วันที่อัดคลิปก็คือวันที่ 2 ก็คืออยากใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งอะไร คือเราคบกันมานานแล้ว เข้าใจทุกอย่างที่เป็นเขา สังคมรอบข้าง ชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ คนในครอบครัวจริงๆ ที่เราบอกว่าเราเข้าใจเขา เราไม่ได้เข้าใจเขาจริงๆ หรอก ต่างคนต่างมีข้อดีข้อเสียทุกข์สุขร่วมกันมา ในวันที่เขาตัดสินใจ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นเวลาของเขา มันมีอะไรมาก่อนหน้านั้นแต่เราพยายามกันมาแล้ว ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ผิดเรายอมรับนะเราพร้อมจะบอกแก้ไข ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่ พี่ก็ต้องยืนยันตามนั้นว่าไม่ใช่ คือวันนี้เราพยายามกันมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน มันมีสิ่งต่างๆ ที่เราพยายามกันมา การสร้างชีวิตครอบครัวประกอบด้วยหลายส่วน ครอบครัวเราครอบครัวเขา หลายๆ เรื่องเองเราก็พยายามแก้ไขมาโดยตลอด วันนั้นมันเป็นเรื่องของ 15 ปีไม่ใช่ประโยคๆ หนึ่ง ถ้าตัดสินใจกันแบบนี้เราก็เคารพซึ่งเหตุผล ซึ่งในเรื่องของมือที่สามไม่มี ตั้งแต่ย้ายออกจากบ้านมา แม่ช่วยยกขนของ มือที่สามก็คือแม่นี่แหละ

ส่วนที่มีคนเมาท์ว่าเป็นเจนี่หรือเปล่า คือกับเจนี่สนิทกัน ตอนนั้นก็มีพี่ เจนี่ พี่แอฟ พี่เบนซ์ ที่ทำงานด้วยกันสนิทกัน สรุปมือที่สามไม่มีแน่นอน อาจจะต้องถึงไซเบอร์ ถามว่าเกรียนคีย์บอร์ดจะโดนไหมถ้ามันเกินเลยไป มันกระทบคุณแม่ คือพี่ๆ เองไม่เป็นไร คนเราต้องการความถูกต้องแต่เราทำถูกต้องหรือเปล่า เราก็ทำความถูกต้องจากกระบวนการถูกต้อง สำหรับจะมีโอกาสที่กลับมาคบไหม ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้เลย ต้องบอกว่าความรู้สึกความทรงจำที่ดียังอยู่ รูปในไอจีบางคนอาจจะลบแต่เรามองว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆ รูปพี่นัทเราก็ยังเก็บไว้อยู่ และอั้มอยากจะขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นที่ต่างกันก็ตาม เราเข้าใจทุกคนรักจึงเป็นแบบนั้น แต่อยากให้ทุกคนเคารพในสิ่งที่เป็น การไปคอมเมนต์บาดหมางเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะเราตกลงกันแบบนี้”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก atichart9