การเดินเป็นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ ช่วยคลายความเครียดและเป็นกิจกรรมที่ทำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพหัวใจ ช่วยลดน้ำหนัก และความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราอาจคิดไม่ถึงก็คือ ความเร็วในการเดินของยังถือเป็นสัญญาณชีพอย่างหนึ่งได้อีกด้วย
ดร. มารี เทเรซ คานากี-แมคอาลีส แพทย์หญิงจากศูนย์การแพทย์อัปเปอร์ ชีซาพีคของมหาวิทยาลัยแมริแลนด์อธิบายว่า สัญญาณชีพ (Vital signs) คือข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานทางสรีรวิทยาพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์จะตรวจสอบในระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี เช่น อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของชีพจร อัตราการหายใจและค่าความดันโลหิต บางครั้งก็รวมถึงค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน ซึ่งเป็นการวัดปริมาณออกซิเจนในเลือด
สัญญาณชีพเหล่านี้คือตัวบ่งชี้สุขภาพโดยรวมของเราและยังช่วยบอกได้ว่าสุขภาพของเรากำลังมีปัญหาหรือมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาตรงไหนบ้าง
ตามการวิจัยในปี 2563 ความเร็วในการเดินของแต่ละคนขึ้นอยู่กับอายุและเพศ โดยผู้ชายจะเดินเร็วกว่าผู้หญิงเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่อายุต่ำกว่า 30 ปีจะเดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 3 ไมล์ (4.8 กม.) ต่อชั่วโมง, ผู้ที่มีอายุระหว่าง 30 – 39 ปี และ 40 – 49 ปี จะเดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 2.8 ไมล์ (4.5 กม) ต่อชั่วโมง, ผู้ที่มีอายุ 50 – 59 ปี เดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 2.75 ไมล์ (4.42 กม.) ต่อชั่วโมง ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เดินด้วยความเร็ว 2.7 ไมล์ (4.3 กม.) ต่อชั่วโมง และเมื่ออายุมากกว่า 65 ปี คนส่วนใหญ่จะเดินด้วยความเร็วเฉลี่ย 2.1 ไมล์ (3.3 กม.) ต่อชั่วโมง
จากการศึกษามากมายพบว่า ความเร็วในการเดินเป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่ดีของเรา ถ้าหากเราสามารถเดินได้เร็วกว่าอัตราเฉลี่ย ย่อมเป็นตัวบ่งชี้ว่าเรามีสุขภาพดี
นายแพทย์แอนโทนี กูฟฟรีดา ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังและการจัดการความเจ็บปวดที่ศูนย์แคนเทอร์สไปน์ในฟลอริดา กล่าวว่า ผู้ที่เดินได้เร็วจะแสดงให้เห็นถึง “ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การประสานงานและการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง” รวมถึง “การทำงานของหัวใจและปอดที่มีประสิทธิภาพ”
ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่สามารถเดินเร็ว ๆ ได้อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
นอกจากนี้ เพ็กกี้ คอว์ธอน ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยแคลิฟอร์เนีย แปซิฟิก เมดิคัล เซ็นเตอร์ ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเดินและสุขภาพ บอกว่า ความสามารถทางปัญญาและการเดินเร็วนั้นมีความเชื่อมโยงกัน
“เราทำการทดสอบผู้สูงอายุจำนวนมากเพื่อวัดการทำงานของสมองในหลายด้าน และความเร็วในการเดินสัมพันธ์กับการทำงานของสมองอย่างมาก” คอว์ธอนกล่าว “ผู้ที่มีความบกพร่องทางปัญญาจะเดินช้ากว่าผู้ที่สติปัญญายังอยู่ในสภาพปกติ”
คอว์ธอนกล่าวว่าเหตุผลก็คือ การเดินเป็นงานที่ “ซับซ้อน” มาก หากเรามีความบกพร่องทางปัญญา เราจะคิดไม่ออกว่าควรก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไรเพื่อให้เดินไปได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ดังนั้น หากเราไม่สามารถเดินเร็วหรือเดินผิดปกติ อาจบ่งบอกว่ากำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญาหรือสมองได้ เช่น ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน เป็นต้น
ความเร็วในการเดินของเราอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ แต่ขณะเดียวกัน การเดิน โดยเฉพาะการเดินเร็ว ก็สามารถช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคตได้
การเดินเป็นวิธีออกกำลังกายง่ายๆ ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการเพิ่มความเร็วในการเดินก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังกาย ซึ่งมีความสำคัญต่อการปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด กระตุ้นการเผาผลาญ และเพิ่มสมรรถภาพทางกายโดยรวม
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐแนะนำว่า เราควรทำกิจกรรมแบบแอโรบิก (การออกกำลังกายที่มีการใช้ออกซิเจน) ที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น การเดินเร็ว อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่ไปกับกิจกรรมเพิ่มเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 2 วันต่อสัปดาห์
ที่มา : yahoo.com/lifestyle
เครดิตภาพ : Daniel Reche from Pixabay