จากกรณี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผู้บังคับการกองอุทธรณ์ (อธ.) เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนในคดีขโมยรังนก ใน จ.พัทลุง สร้างความเสียหายหลายพันล้านบาท ร่วมกับชุดสอบสวน ภ.จว.พัทลุง โดยสามารถจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวบ้าน ที่ร่วมก่อเหตุได้แล้วจำนวนหนึ่ง อยู่ระหว่างขยายผลจับกุมตัวการใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ตามที่เสนอไปแล้วนั้น

ปูพรม! ตร.กว่า100ลุยค้น 9 จุดเมืองพัทลุง สางคดีขโมยรังนก

ด่วน!สั่งเด้ง4ตร.เข้ากรุศปก.ภ.จว.พัทลุง เซ่น ‘ขโมยรังนก’ เปิดทางเชือดขบวนการโฉด

งามไส้!จับ ‘จนท.รัฐ-ชาวบ้าน’ เพิ่ม4ราย ขบวนการ ‘ขโมยรังนก’ เร่งล่าอีก2

กราวรูด! เรียกสอบปากคำ40ตำรวจเมืองพัทลุง สางคดีขโมยรังนก

ผู้ใหญ่บ้าน ชิงมอบตัว ตำรวจพบเบาะแสมัด เอี่ยวขบวนการขโมยรังนก

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผบ.ตร. ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีว่า จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มคนร้ายลักลอบเข้าไปเก็บรังนกในพื้นที่สัมปทานหมู่เกาะสี่ เกาะห้า จ.พัทลุง ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย. -9 ก.ย. จริง ตามข้อร้องเรียน จึงได้สืบสวนหาตัวคนร้าย จนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีผู้กระทำความผิดโดยขออนุมัติศาลจังหวัดพัทลุง ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ครั้ง รวม 17 ราย ประกอบด้วยครั้งแรก 6 ราย ครั้งที่ 2 อีก 11 ราย ยังหลบหนี 1 คน ทั้งแยกกลุ่มความผิดได้ 2 กลุ่มใหญ่ แบ่งเป็น 1.กลุ่มผู้ลักลอบเข้าไปเก็บรังนก 13 คน เป็นการกระทำความผิดรวม 4 ข้อหา คือ ร่วมกันเก็บรังนกที่มีอยู่ตามธรรมชาติบนเกาะหรือในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ได้รับสัมปทานจากคณะกรรมการ, ร่วมกันเข้าไปกระทำการใดๆ บนเกาะ หรือในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีรังนกอยู่ตามธรรมชาติ อันเป็นหรืออาจเป็นอันตรายแก่นกอีแอ่น ไข่ของนกอีแอ่น หรือรังนก หรืออาจเป็นเหตุให้นกอีแอ่นละที่อยู่อาศัยไปจากเกาะหรือที่สาธารณสมบัติแผ่นดินดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.อากรรังนกอีแอ่น มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 25, 28 ,ร่วมกันเก็บ ทำอันตราย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งรังของสัตว์ป่าคุ้มครอง และล่าสัตว์ป่าหรือเก็บหรือทำอันตรายแก่รังของสัตว์ป่า ในพื้นที่ที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า มาตรา 14 วรรคสอง, 67 (1)

2.กลุ่มเจ้าพนักงานชุดปฏิบัติการคุ้มครองหมู่เกาะรังนกอีแอ่น รวม 4 คน แยกได้ดังนี้ 2.1 กลุ่มเจ้าพนักงานร่วมลักลอบเก็บรังนกและเรียกรับผลประโยชน์ 2 คน ความผิดรวม 6 ข้อหา คือข้อหา 1-4 ดังกล่าวข้างต้น ข้อหาที่ 5.เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และ 6.เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินโดยมิชอบฯ 2.2 กลุ่มเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ 1 คน ความผิดรวม 2 ข้อหา คือ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินโดยมิชอบฯ 2.3เจ้าพนักงาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ 1 คน ความผิด 1 ข้อหา คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีการจับกุม 1 คน คือ นายสุธรรม ขุนล่ำ ชาว จ.สงขลา เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง

อย่างไรก็ตาม การสืบสวนพบอีกว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับกลาง เช่น ตำรวจ อส. ฝ่ายปกครอง และพลเรือนกระทำผิดอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับผู้ต้องหาที่เหลือจะออกหมายเรียก และเร่งรัดติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ได้ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนมอบหมายให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน รับผิดชอบการสอบสวน ลงพื้นที่ในวันที่ 4 พ.ย. จะมีรับมอบตัวผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มเติม จากนั้นจะแจ้งข้อกล่าวหา และจะสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นๆ ต่อไป 

ส่วนที่ห้องประชุม บก.ภ.จว.พัทลุง สถานที่สอบปากคำข้าราชการและ อส. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ที่จะเดินทางมารับทราบข้อกลาวหานั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ที่ได้รับหมายเรียกเป็น อส. 3 คน พร้อมทนายความ เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน ส่วนข้าราชการระดับอำเภอรายหนึ่ง ที่มีชื่อถูกออกหมายเรียก ได้ส่งตัวแทนมาติดต่อกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เพื่อขอเข้าให้ปากคำเช่นกัน

รายงานจากชุดคลี่คลายคดี แจ้งว่า ในคดีขโมยรังนก จ.พัทลุง ขณะนี้ มีผู้ถูกออกหมายเรียกให้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาลอตที่ 3 รวม 19 คน มีข้าราชการผู้ใหญ่ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ รวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นเป็น ตำรวจ 7 นาย ยศตั้งแต่
พ.ต.อ.-พ.ต.ท. ข้าราชการฝ่ายปกครอง ระดับปลัดอำเภอ อส. และเจ้าหน้าที่ป่าไม้

ขณะที่ พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีกล่าวหาตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวม 7 นาย
ในส่วนนี้จะต้องรอพยานหลักฐาน ก่อนที่จะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย และถ้าหากพบว่ามีความผิด จะลงโทษทางวินัยควบคู่กันไปด้วย ซึ่งอาจถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน