สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ว่าบริษัทโคคา-โคล่า เผยแพร่แถลงการณ์ของนายเจมส์ ควินซีย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) มีเนื้อหาสำคัญว่า เนื่องจากบริษัทนำเข้าอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็นหลัก เพื่อใช้สำหรับการผลิตกระป๋องเครื่องดื่ม ดังนั้น หากมาตรการเพิ่มกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมอีก 25% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ มีผลในวันที่ 12 มี.ค. จริง ต้นทุนการผลิตเครื่องดื่มใส่กระป๋องจะแพงขึ้น


เมื่อเป็นเช่นนั้น โคคา-โคล่า อาจจำเป็นต้องกลับมาผลิตเครื่องดื่มใส่ขวดพลาสติกมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทเพิ่งปรับเปลี่ยนเป้าหมายด้านความยั่งยืน เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา จากการใช้วัตถุดิบที่ง่ายแก่การรีไซเคิลเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ ให้ได้สัดส่วน 50% ภายในปี 2573 ลงเหลืออยู่ที่ระหว่าง 35-40% ภายในปี 2578


อนึ่ง ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา บรรดาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมบนโลก ประสานเสียงขนานนามโคคา-โคล่า เป็นบริษัทผู้ผลิตขยะพลาสติกรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งผลให้บริษัทพยายามลดแรงเสียดทานในเรื่องนี้ ด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตบรรจุภัณฑ์มากขึ้น แม้ยังคงเป็นสสารที่รีไซเคิลได้ยาก แต่หากเทียบกับพลาสติก ยังถือว่า “ใช้เวลาน้อยกว่า”.

เครดิตภาพ : AFP