เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 มี.ค. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีมีกระแสข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการแบ่งกลุ่ม 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ที่เคยลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 และมีคดีอยู่ใน ป.ป.ช. ไว้เป็น 4 กลุ่ม ซึ่งมีอย่างน้อย 12 คน ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกล็อกเป้าตัดสิทธิทางการเมือง ว่า ถ้ามีการจัดกลุ่มจริง ตนก็ไม่แน่ใจเจตนาของเรื่องนี้คืออะไร ทุกคนก็รู้ว่าตอนนี้ สส.พรรคประชาชน กำลังทำหน้าที่ตรวจสอบ ไม่แน่ใจว่าเป็นความจงใจหรือไม่ แต่ดูเหมือนมีสิ่งที่จะทำให้ สส. ต้องไปโฟกัสกับเรื่องอื่น แทนที่จะโฟกัสกับการตรวจสอบรัฐบาล ตนคิดว่าประเทศไม่ได้อะไร วันนี้เราพยายามโฟกัสกับการทำงานให้กับประชาชน กับการทำหน้าที่ให้ออกมาดีที่สุด แต่ก็กลายเป็นว่ามีความพยายามที่จะใช้นิติสงคราม ใช้กระบวนการ ซึ่งตนคิดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้องแน่นอน 

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ฝ่ายนิติบัญญัติยื่นแก้กฎหมายจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ไปว่ากันในสภา แต่การจะมาเอาผิดกันในเรื่องจริยธรรม ทั้งๆ ที่เรื่องที่ใหญ่กว่า สำคัญกว่า ทั้งการสมคบคิดกันช่วยเหลือกัน การเคลียร์คดีกัน เป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ และกระทบศีลธรรมของสังคมจริงๆ กลับไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลายเป็นว่าอะไรก็ตาม ที่จะเอาเรื่องกับพรรคประชาชน เอาเรื่องกับพรรคสีส้ม กลับต้องใช้ความรวดเร็ว และหวังว่าจะตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต 

“พูดกันจริงๆ บางทีไม่ชอบพวกเราไม่เป็นไร เกลียดพวกเราได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ทำกันแบบนี้ พวกเราได้อะไร และสุดท้ายก็กลับไปสู่วังวนแบบเดิม วัฏจักรแบบเดิม ที่ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลย เราก็ขัดแย้งกันแบบนี้ สุดท้ายประเทศไทยได้อะไรจากการที่ฝ่ายตรวจสอบ ฝ่ายค้านอ่อนแอ ฝ่ายค้านถูกทำลาย ตนคิดว่ามีแต่เสียกับเสีย การทุจริตคงจะมีมากขึ้น วันนี้เราพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เรายอมรับว่า การทำหน้าที่ของเรามันไม่ง่าย มีเรื่องที่ต้องมานั่งคิดต่างๆ มากมาย แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด” นายรังสิมันต์ กล่าว