เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงสร้างพาวเวอร์ให้พรรคเล็กอย่าง ”กล้าธรรม“ แข็งแกร่งในสนามการเมือง ยังไม่นับรวมการ “ดูด” ส.ส.เข้าพรรค ล่าสุดเป็นสส.จากพรรคประชาชน (ปชน.) และ 2 บิ๊กเนมสมาชิกพรรคจากพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)
อย่างน้อยเท่าที่เห็นพรรคกล้าธรรมกำลังขยายฐาน เติบโตกลายเป็นพรรคใหญ่ตีคู่กับพรรคการเมืองเก่าแก่ ความหมายเท่าที่เห็น คืออย่างน้อยในเบื้องต้นมีการเพิ่มจำนวน สส.ในพรรคย่อมมีผลต่อเก้าอี้รัฐมนตรีที่อาจต่อรองได้เพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าจับตาการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่น่าจะเป็นไปได้ ท่ามกลางสถานการณ์กลางปี หลังการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก”
แน่นอนว่าตัวเลขสส.ของพรรคกล้าธรรมกำลังไต่ระดับขึ้นหลัก 30 เสียง พร้อมๆกับยุทธการโหมโรง ขบวนแห่ “ร.อ.ธรรมนัส” ขึ้นแท่น “ผู้จัดการรัฐบาล” อวยยศเต็มเหนี่ยวที่โชว์แสนยานุภาพในสนามเลือกตั้งซ่อม สส.นครศรีธรรมราช ต่อเนื่องกับศักยภาพของเครื่องดูดขนาด 20 สูบ 80 วาล์ว ดูด “งูเห่า” เข้ารัง เทียบฟอร์ม “บิ๊กบราเธอร์” เป็น “ม้าใช้” ที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขาดไม่ได้ เพราะเป็นคีย์สำคัญใช้ทุบแต้มต่อจาก “ค่ายเซราะกราว”
โดย “ร.อ.ธรรมนัส” ออกมาปฏิเสธทันทีว่า “ผมสนิทสนมกับนายทักษิณ ถือเป็นเรื่องปกติที่จะจับมือกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลและพรรคกล้าธรรม ไม่ได้มีเจตนาที่จะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย คานอำนาจพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าพรรคไม่เคยใช้เงินดูด สส.เข้าร่วมงานการเมือง รวมถึงข้อสังเกตเรื่องการใช้เงิน 55 ล้าน ซื้อตัว สส.งูเห่า พร้อมเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะรักษาเก้าอี้ สส.เขต 22 คน เอาไว้ได้อย่างแน่นอน และจะได้เก้าอี้ สส.เกิน 100 คนด้วย“

หลายคนมองว่าพรรคกล้าธรรม เป็นพรรคสาขาของ “เพื่อไทย” ไว้สู้ศึกในสนามเลือกตั้งระหว่าง “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” แต่ความจริงแล้ว ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้ต้องการเป็นแค่อะไหล่ของพรรคเพื่อไทย หากแต่ต้องการเป็นพรรคที่มีอำนาจต่อรองทางการเมือง ไม่ว่าจะในปัจจุบัน หรืออนาคต
เห็นได้จากห้วงสถานการณ์ตอนนี้ อยู่ในยุคการเมืองไม่นิ่ง แจกกล้วยเฟื่องฟู อัดน้ำเลี้ยงสอยงูเห่าฟูเฟื่อง ล็อกเป้าเข้าเหลี่ยม “นักแม่นปืน”
ฉะนั้นพรรคกล้าธรรมในปัจจุบันจึงต้องสร้างพลังทางการเมืองให้กับตัวเอง ด้วยการเพิ่มปริมาณ สส. เพื่อให้ยังมีความสำคัญต่อรัฐบาล และมีประโยชน์ในทางการเมือง ด้วยสไตล์ “กล้าชน” เขตไหนพรรคเพื่อไทยสู้พรรคภูมิใจไม่ได้ ต้องใช้พลัง ‘พรรคกล้าธรรม’ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งหน้าเป้าหมายค่อนข้างชัดว่าต้องการเป็นพรรคขนาดกลางที่มีความสำคัญ และมีพลังต่อรองทางการเมืองสูง จึงต้องการจะรักษาความเป็นพรรคที่มีพลังทางการเมืองเอาไว้.