เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของทวิภาคี และเป็นเวทีหารือเรื่องเขตแดนโดยเฉพาะ จึงประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและเส้นเขตแดน ซึ่งจัดขึ้นแล้ว 10 ครั้ง โดยคณะเจบีซีฝ่ายไทย ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย ซึ่งนำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ส่วนฝ่ายกัมพูชา มีนายฬำ เจีย รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชายแดนกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ นอกจากนี้ เราใช้บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันแล้ว และมีผลทางกฎหมาย ทั้งนี้ หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 คือการให้ทั้ง 2 ฝ่าย งดเว้นการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบ
นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไทยและอีก 118 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก (ไอซีเจ) ดังนั้น ไทยจะยึดมั่นผ่านกลไกทวิภาคี จึงขอให้ทุกคนมั่นใจว่าผู้แทนไทยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ และกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการด้วยความมืออาชีพ โดยจะเอาผลประโยชน์ของประชาจนเป็นตัวตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าการประชุมเจบีซีที่กำลังจะเกิดขึ้น มีหัวข้อการพิจารณาใดที่สามารถเปิดเผยได้ และเวลาในการประชุมมีกรอบอย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า ตนยังไม่สามารถเล่าได้ เพราะยังหารือถึงการกำหนดวาระการประชุมยังไม่เสร็จ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นวาระการประชุมแน่นอน คือการสำรวจร่วมเรื่องเขตแดน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงวิจารณ์ว่านายประศาสน์ หัวหน้าคณะเจบีซี ฝ่ายไทย มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนตัว นายนิกรเดช กล่าวว่า นายประศาสน์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนที่สุดคนหนึ่ง ดูจากการทำงานท่านทำงานอยู่ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมายมาตลอด
“โตมากับกรมสนธิสัญา และเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญา ก่อนออกไปเป็นทูต ณ กรุงพนมเปญ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีความคุ้นเคยและได้รับการยอมรับ เรียนได้เลยว่ากรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ก็อยากจะให้ท่านมาเป็นหัวหน้าทีม และขอย้ำว่ารัฐบาลจะยึดถึงผลประโยชน์ของประชาชนและอธิปไตยของชาติ ยืนยันว่าคณะกรรมาธิการเจบีซี เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเขตแดน ดังนั้น ยืนยันในความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นมืออาชีพ” นายนิกรเดช กล่าว
นายนิกรเดช ระบุว่า การที่กัมพูชาเชิญไทยเข้าไปประชุมเจบีซี แสดงว่ากัมพูชาอยู่ในกลไกอยู่แล้ว ความหมายคือกัมพูชายอมรับในเอ็มโอยู ปี 2543 ถามว่าเราตั้งใจว่าจะบรรลุผลอะไร เรามีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้ แต่ผลอย่างหนึ่งคือเราต้องการคือลดอุณหภูมิความร้อนแรงบริเวณชายแดน ตนเชื่อว่าจะเป็นความหวังของกัมพูชาด้วย ตนพูดเสมอว่าเราต้องพูดคุยด้วยความสุจริตใจ
“จูงมือกันไปสำรวจร่วม ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จะเป็นการลดอุณหภูมิ นั่นคือเป้าหมายที่เราไปด้วยความชัดเจนมากในเรื่องนี้” นายนิกรเดช กล่าว
เมื่อถามว่าถ้าการประชุมเจบีซีครั้งนี้ไม่บรรลุผล จะดำเนินการอย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา 25 ปี เพราะที่ผ่านมาปลดล็อกอะไรไปได้หลายอย่าง 40 กว่าหลักเขต แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยการประชุมเจบีซี ดังนั้น การเผชิญหน้าหรือเห็นไม่ตรงกันที่ชายแดน ไม่ใช่เรื่องง่ายในการประชุม 1 ครั้งแล้วจบ ตนไม่อยากให้ตั้งความหวังว่าเจอกันที่เจบีซีแล้วลากเส้นเขตแดน