จากเหตุการณ์ระทึกใจเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจ สภ.บางละมุง บุกเข้าตรวจสอบบ้านพลูวิลล่าหรู เลขที่ 400/19 หมู่ 6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับการประสานจากสถานทูตเกาหลีใต้ ว่ามีชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งถูกลักพาตัวมาทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เมืองพัทยา

เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง พบชายชาวเกาหลีใต้กว่า 20 คนกำลังนั่งประจำโต๊ะคอมพิวเตอร์ทำงาน พอเห็นตำรวจ ต่างพากันแตกตื่นวิ่งหนี บางรายถึงขั้นกระโดดจากชั้นสองจนบาดเจ็บ ตำรวจสามารถควบคุมตัวได้ทั้งหมด 21 ราย แบ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ 20 ราย และคนจีน 1 ราย

หวังช่วยเหยื่อกลับเจอแก๊งเงินกู้! 22 เกาหลีวิ่งหนีกระเจิง-โดดชั้น 2 สาหัส

คืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จากการตรวจค้นภายในบ้าน พบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือกว่า 60 เครื่อง และอุปกรณ์สื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต (IP Phone) นอกจากนี้ยังพบกระดานไวท์บอร์ดเขียนข้อความด้วยภาษาเกาหลี ที่มีลักษณะเชิญชวนให้ลงทุนในตลาดหุ้น พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 500 ล้านวอน หรือประมาณ 12 ล้านบาท และยังพบข้อความในลักษณะ “โรแมนซ์สแกม” อีกด้วย

เบื้องต้น ชาวเกาหลีในกลุ่มให้การว่าเป็นเพียงผู้ทำธุรกิจเงินกู้จากเกาหลีใต้ และมาใช้พัทยาเป็นที่ประสานงาน แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะพฤติกรรมและหลักฐานที่พบ เข้าข่ายกระทำผิดในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างชัดเจน

การสืบสวนพบว่า กลุ่มนี้น่าจะเพิ่งย้ายฐานมาจากเขตชายแดนกัมพูชา ภายหลังการกวาดล้างอย่างเข้มข้นในพื้นที่ดังกล่าว โดยมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการใหม่ โดยเฉพาะพัทยาที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมและง่ายต่อการปกปิดตัวตน

คดีนี้ยังมีจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ โดยพ่อของชายชาวเกาหลีรายหนึ่งที่ถูกลวงให้มาทำงานในไทย ได้รับโทรศัพท์จากลูกชายขอให้โอนเงิน พร้อมอ้างว่าถูกควบคุมตัวอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พ่อเกิดความกังวลจึงประสานสถานทูต จนนำไปสู่การช่วยเหลือและการจับกุมครั้งใหญ่ในรอบหลายปี

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างละเอียด พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานและรอผลตรวจดีเอ็นเอ-ลายนิ้วมือจากกองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อตอกย้ำความชัดเจนว่าเครือข่ายนี้คือ “แก๊งหลอกลวงข้ามชาติ” ที่เคลื่อนไหวในรูปแบบแยบยลและแฝงตัวในบ้านพักหรูใจกลางเมืองท่องเที่ยว

เบื้องต้นตำรวจเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ฐานลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย และตรวจสอบเพิ่มเติมในข้อหา “อั้งยี่” พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถือวีซ่านักท่องเที่ยวแต่เข้ามากระทำผิด พร้อมเดินหน้าขยายผลเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างประเทศต่อไป.