เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก เนื่องจาก สพฐ. พบว่า ขณะนี้จำนวนนักเรียนของ สพฐ. ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ. มีนักเรียนในสังกัด ประมาณ 6,400,000 กว่าคน แต่ข้อมูลในปีการศึกษานี้ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นี้ มีนักเรียนเหลือ 6,300,000 กว่าคน ลดลงเกือบ 100,000 คน ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ เพราะหากจำนวนนักเรียนลดลง ก็จะทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สพฐ. จำเป็นจะต้องรีบวางแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยวันที่ 1-3 ก.ค. นี้ ตนจะประชุมผู้อำนวยการสำนักงานแขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ เพื่อหารูปแบบการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กว่าจะมีการดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร รวมถึงการเตรียมข้อมูลด้านต่างๆ ของโรงเรียนขนาดเล็ก และวิธีการลดภาระงานครู เสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่พิจารณาต่อไป
“สำหรับเป้าหมายการลดภาระงานครูนั้น สพฐ. ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกรณีครูมัท ซึ่งครูจะต้องได้ทำหน้าที่สอนเด็กเพียงอย่างเดียว เพราะทุกวันนี้ ครูได้รับมอบหมายงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน หลายโครงการหลายกิจกรรมทำให้ครูออกจากห้องเรียน ดังนั้นเราจะหาวิธีการออกแบบลดภาระงานครูอย่างไรได้บ้าง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาครูที่ต้องทำหน้าที่งานจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งครูที่ต้องแบกรับหน้าที่นี้ ก็ไม่มีความรู้ด้านบัญชีและพัสดุ อีกทั้งหากจะมอบหมายงานดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ธุรการในโรงเรียนทำแทน ก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ธุรการจะมีความเข้าใจงานด้านดังกล่าวหรือไม่ โดยเราอาจจะหาวิธีการเติมทักษะอบรมงานพัสดุให้แก่เจ้าหน้าที่ธุรการในโรงเรียนเพิ่มเติม ทั้งนี้ สพฐ. เข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี และจะออกแบบการแก้ปัญหานี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุด เพราะหากนำงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอนออกจากครูได้ เราเชื่อว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยจะขยับดีขึ้นอย่างแน่นอน” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือการเตรียมความพร้อมดูแลนักเรียนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะหากติดตามสถานการณ์เขตชายแดนแล้ว ทุกคนทุกหน่วยเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็ก ซึ่งเรามีโรงเรียนที่อยู่ตามเขตแนวชายแดน ถึง 416 โรงเรียน ซึ่งในจำนวนนี้ตนได้มอบให้สำนักอำนวยการของ สพฐ. จำแนกเป็น โรงเรียนกลุ่มเสี่ยงเฉพาะที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยจากการสำรวจโรงเรียนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า โรงเรียนที่มีหลุมภัยที่มีความแข็งแรงและปลอดภัย จำนวน 160 แห่ง และโรงเรียนที่ยังไม่มีหลุมหลบภัย จำนวน 230 แห่ง ซึ่งจะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดสร้างหลุมหลบภัยต่อไป โดยขณะนี้สิ่งสำคัญตนกำชับโรงเรียนตามแนวชายแดนทั้งหมด ให้ซักซ้อมแผนเผชิญอย่างเข้มข้น และต้องมีผู้รับผิดชอบวางแผนการอพยพการเคลื่อนย้ายเด็กอย่างปลอดภัยด้วย