เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่รัฐสภา นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แถลงถึงผลการศึกษานโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลว่า กมธ.ศึกษาและเชิญบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล 2 เดือนที่ผ่านมา พบข้อพิรุธมากมาย มีข้อกังวลคือ 1.การทำผิดรัฐธรรมนูญหลายมาตราได้แก่  มาตรา 3 วรรค 2  มาตรา 58 มาตรา 63 มาตรา 65 หากมีการเสนอร่างกฎหมายนี้ อาจมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ทำผิดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา 2.ด้านเศรษฐกิจ เชิญสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาให้ข้อมูลยืนยัน การมีกาสิโนไม่ช่วยให้จีดีพีประเทศเพิ่มขึ้น ขณะนี้ธุรกิจพนันเป็นขาลง แต่ประเทศไทยกำลังจะทำธุรกิจขาลง จะได้ไม่คุ้มเสีย รายได้ตกอยู่ที่นายทุน ไม่ใช่รัฐ  3.ด้านสังคม รัฐบาลอ้างจะให้คนมีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท เล่นกาสิโนได้ แต่ประเทศไทยคนมีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท มีแค่ 1 หมื่นคน เป็นไปไม่ได้ที่คนหมื่นคนจะเข้าไปเล่นทั้งหมด

นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า การเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้มีพิรุธคือ เร่งรีบผิดปกติผลักดันกฎหมายเข้าสภา แม้จะมีข่าวจะเลื่อนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เมื่อเปิดประชุมสภา วันที่ 3 ก.ค. แต่ไม่แน่ใจจะเลื่อนจริงหรือไม่ ทางที่ดีควรถอนออกไปเลย หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลค่อยเสนอร่างกฎหมายตัวนี้กลับเข้าอยู่ในนโยบายรัฐบาลอีกครั้ง แม้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ระบุยังไม่มีการกำหนดสถานที่ตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แต่เอกชนต่างทราบแล้วว่า จะมีสถานที่ตั้งอยู่ กทม. 2 แห่ง เชียงใหม่ 2 แห่ง พัทยา 1 แห่ง ภูเก็ต 1 แห่ง เก็บภาษี 17% ต้องรอดูจะเป็นจริงตามนี้หรือไม่ ถ้าเก็บภาษี 17% ถือว่าน้อยมาก เพราะประเทศที่เจริญแล้วอย่างมาเก๊าและญี่ปุ่นเก็บภาษี 35-40% 

นพ.วีระพันธ์ กล่าวต่อว่า ตัวเลขเหล่านี้เอกชนรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มาจากคนกำหนดนโยบาย ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ทำตามขั้นตอนเสนอกฎหมายคือ ไม่รับฟังความคิดเห็นประชาชน ไม่กำหนดพื้นที่ศึกษาผลกระทบในทุกมิติ ไม่พิจารณาระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แต่กลับไปเขียนร่างกฎหมายก่อน ส่วนที่รัฐบาลอ้างทำประชาพิจารณ์สอบถามความเห็นประชาชนแล้ว มีคนเห็นด้วย 80% นั้น การทำประชาพิจารณ์กับประชามติเป็นคนละเรื่องกัน การทำประชาพิจารณ์ไม่สามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้ รัฐบาลกำลังทำให้ประชาชนเข้าใจผิด กมธ.จะนำข้อสังเกต และข้อพิรุธต่างๆ เสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาวันที่ 7 ก.ค.นี้ ทันทีที่เปิดประชุมสภารอบใหม่.