เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางอารีพันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พร้อมด้วยนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด และอดีต สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และผู้แทนภาคเอกชนจากบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด แถลงภายหลัง น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นำคณะเข้าพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นพีเอ็ม 2.5
โดย รองเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลเน้นการทำภาครัฐระบบเปิด งานทุกอย่างที่เป็นประเด็นปัญหาวิกฤติจะได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการดำเนินการมาเป็นเวลา 3 ปี ร่วมกับภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน พบว่า การแก้ปัญหาพีเอ็ม 2.5 ต้องมี 7 องค์ประกอบ คือ 1.แผนการบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นจุดศูนย์กลาง 2.ฐานข้อมูลต้องมีประสิทธิภาพ 3.ปัญหาที่ดินทำกินที่ประชาชนไม่มีความมั่นใจว่าจะปลูกพืชเศรษฐกิจได้หรือไม่ จึงมีการย้ายที่ และปลูกพืชระยะสั้น 4.การแก้ปัญหาเผาภาคการเกษตร 5.การแก้ปัญหาเผาในภาคป่าไม้ 6.การกำจัดเศษวัสดุว่าจะนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใดเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้ และ 7.การนำภาคเอกชนเข้าร่วม ซึ่งขณะนี้เราสามารถดึงความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาได้ถึง 13 บริษัท โดยมองว่าการลงทุนเป็นการช่วยสังคม และมีเจตนารมณ์ที่จะแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับประชาชน
ขณะที่ นายวีรพงศ์ วิรบุตร์ ผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจเครื่องจักรกลก่อสร้าง บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ภาคเอกชนประกาศพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยปี 2567 บริษัทได้ร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนครอบคลุม 46 จังหวัด ภายใต้การสนับสนุนจากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการด้านการเกษตรแปรรูป ผ่านการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่ เพื่อลดการเผาทางการเกษตรได้อย่างเป็นรูปธรรม เราขอยืนยันเจตนารมณ์เดินหน้าสานต่อให้สังคมไทยไร้ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อย่างยั่งยืน และเชื่อว่าอีก 12 องค์กรภาคเอกชนที่มาร่วมแสดงพลังจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
ด้าน นายจักรพล กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ว่า ขณะอยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งที่ประชุมกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด ได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปวิเคราะห์ความถูกต้อง และเมื่อเปิดการประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.เป็นต้นไป จะเข้าสู่ขั้นตอนการประชาพิจารณ์ เพื่อฟังความคิดเห็นของประชาชน ผ่านเว็บไซต์ของรัฐสภา 10-15 วัน หากไม่มีปัญหาต้องแก้ไขถือว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนของ กมธ. จากนั้น จะเป็นการเสนอคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เพื่อบรรจุระเบียบวาระนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา วาระ 2-3 ต่อไป
“เรายืนหยัดต่อสู้ที่จะทวงคืนอากาศสะอาดให้กับประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ฝ่ายนิติบัญญัติถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้และหากมีภาคประชาชนที่เข้มแข็งร่วมมือกับรัฐบาลเชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายไปได้” นายจักรพล กล่าว