เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรับร้องเรียนจาก นายสมพร ปิ่นสกุล อายุ 45 ปี ชาว อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร เจ้าของรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อฮีโน่ 344 ทะเบียน 83-3215 พ่วง 83-3216 ว่าได้เช่าซื้อรถบรรทุกพ่วงจากบริษัทแห่งหนึ่งในราคา 2.8 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 6 หมื่นกว่าบาท มารับจ้างวิ่งบรรทุกแร่ในพื้นที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ปรากฏว่าช่วงสถานการณ์โควิด-19 และน้ำมันแพง ทำให้ส่งรถต่อไม่ไหว ต้องจอดทิ้งไว้ ตั้งใจจะไปคืน แต่เห็นว่าจะต้องส่งยอดที่เหลือกับบริษัทที่ขายรถอีก จึงได้ติดต่อกับเต็นท์ที่ จ.ปราจีนบุรี เพื่อที่จะขายดาวน์ ปรากฏว่าทางเต็นท์ให้ไปเปลี่ยนสัญญา เนื่องจากบอกว่าขายดาวน์ได้แล้ว ให้นำรถไปให้เมื่อ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา

จากนั้นก็รอการติดต่อ แต่เต็นท์เงียบไป เมื่อไปติดตามก็ทราบว่าขายดาวน์ไปแล้วให้กับ นายสายชล (สงวนนามสกุล) ชาว จ.ราชบุรี แต่ทางเต็นท์ยังไม่จ่ายเงินดาวน์ให้ตน และยังไม่เปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อ จนกระทั่งปัจจุบันไฟแนนซ์มาตามทาวงหนี้ค้างเป็นเวลา 3 เดือนเศษ ตนแจ้งความแล้วที่ สภ.ปราจีนบุรี ท้องที่นำรถไปฝากขาย แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า

ขณะเดียวกัน นายอำนาจ สถิตพงษ์ อายุ 44 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นเจ้าของรถบรรทุก 18 ล้อพ่วง 2 คันหมายเลขทะเบียน 81-2396 พ่วง 81-2397 อุทัยธานี และ 81-2619 พ่วง 2620 อุทัยธานี มีนางจันทร์จิรา (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ภรรยาของ นายสายชล มาติดต่อซื้อดาวน์ทั้งสองคันไปในราคา 4 แสนกว่าบาท จากนั้นก็ไม่มาทำเรื่องเปลี่ยนสัญญา ทั้งที่รถสองคันราคากว่า 4 ล้านบาท จากนั้นก็หายไปติดต่อไม่ได้ ที่สังเกตคือได้ทำการตัดสัญญาณจีพีเอสรถทั้งหมดที่ซื้อไป ทำให้ตามรถไม่ได้ ทางไฟแนนซ์ ให้โอกาสตนและเพื่อนติดตาม แต่ก็ยังไม่พบ

นายอำนาจ ยังเปิดเผยด้วยว่า ตนยังพบว่ามีเฟซบุ๊กลงขายชิ้นส่วนรถบรรทุกของตนด้วย ซึ่งตนจำได้ และเชื่อว่ารถคงโดนแยกชิ้นส่วนไปแล้ว โดยมีเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถบรรทุกนับสิบรายใน จ.สิงห์บุรี ชัยนาท ระยอง เจอเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ที่หลายคนแจ้งความไม่ได้ และไม่มีใครตามเรื่อง ทั้งที่เหมือนทำเป็นขบวนการ เนื่องจากเพื่อน ๆ ก็ถูกสองสามีภรรยาคู่นี้ไปติดต่อซื้อเช่นกัน เนื่องจากมีคนบอกว่าพวกตนทำผิดสัญญานำรถไปขายทั้งที่เป็นรถเช่าซื้อ พวกตนก็ไม่รู้จำทำอย่างไร เนื่องจากต้องถูกไฟแนนซ์ตามทุกวันนี้ หมดทางทำกินด้วย.