เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลานหน้าอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ นายสมพงษ์ เจียงวรีวงศ์ ประธานชมรมสหกรณ์ครูออมทรัพย์ครู จ.อุตรดิตถ์ พร้อมคณะครูจากโรงเรียนต่างๆทั้งประจำการและเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุตรดิตถ์ จำกัด กว่า 300 คน มารวมตัวกันลงชื่อ ชูป้ายและปราศรัยโจมตีการปฏิบัติงานของคณะผู้บริหารสหกรณ์ ที่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่การเงิน ปลอมแปลงเอกสาร ลายมือชื่อถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษของสมาชิกตั้งแต่ปี 2561-2564 เป็นเงินจำนวนกว่า 18 ล้านบาท โดยมีนายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ และนายสุธี ขันทอง สหกรณ์จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นผู้รับหนังสือคำร้องและยืนยันว่าจะดำเนินการติดตามเรื่องดังกล่าวให้ต่อไป

นายสมพงษ์ เปิดเผยว่า รายแรกเป็นครูหญิงอายุประมาณ 40 – 45 ปี อยู่ อ.ท่าปลา ถูกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.2561-23 มี.ค.2564 รวม 9 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 4 ล้านบาท รายที่ 2 เป็นอดีตข้าราชการครูวัย 91 ปี ถูกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษมากกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.2561-22 ม.ค.2564 ด้วยวิธีการปลอมแปลงเอกสารลายมือชื่อ เงินสูญหายไปพร้อมดอกเบี้ย 15,589,034.93 บาท รวมเงินในบัญชีของทั้ง 2 ราย ถูกถอนไปพร้อมดอกเบี้ยรวม 18,481,596.96 บาท ซึ่งถึงแม้ขณะนี้มีการไล่เจ้าหน้าที่การเงินคนดังกล่าวออกไปแล้ว แต่การดำเนินคดีตามกฏหมายยังไม่มีความคืบหน้าใดๆรวมถึงคณะผู้บริหารได้แก้ไขปัญหาโดยการนำเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุตรดิตถ์ไปใช้คืนให้ ส่งผลให้มีหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุตรดิตถ์ มีภาพลักษณ์ตกต่ำที่สุด

นายสมพงษ์ เผยอีกว่า อีกทั้งหลังจากเกิดเหตุ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูฯได้ประกาศลดเงินปันผลของสมาชิก จากปกติร้อยละ 6.2 เป็นร้อยละ 2.6 ทำให้สมาชิกไม่พอใจ ถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่ล้มเหลว จึงรวมตัวยื่นหนังสือต่อจังหวัดและสหกรณ์จังหวัด ซึ่งข้อเรียกร้องของสมาชิกต้องการให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุตรดิตถ์ ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีของอดีตเจ้าหน้าที่ที่ได้ยักยอกเงินไป ว่าดำเนินการถึงขั้นตอนใด ขอให้มีการประชุมพิจารณาจัดสรรงบประมาณปีการเงิน 2565 และการจัดสรรกำไรการเงิน 2564 ที่จะมีการประชุมในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ เป็นการประชุมในรูปแบบปกติ ไม่ใช่การประชุมผ่านระบบ Zoom และการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ฯ ขัดต่อข้อบังคับ ระเบียบสหกรณ์ ที่กำหนดให้สมาชิกผู้ประสงค์กู้เงินต้องมีเงินเดือนสุทธิอย่างน้อยร้อยละ 30 เปลี่ยนเป็นร้อยละ 15