เมื่อวันที่ 8 ม.ค. นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกทม. ตรวจความพร้อมการเปิดศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ(Community Isolation :CI) เกียกกาย เขตดุสิต เพื่อเตรียมรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กรณีมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยมีนายสมบูรณ์ หอมนาน ผอ.สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว นางป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผอ.สำนักอนามัย นายธานินทร์ เนียมหอม ผอ.เขตดุสิต และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่
ปลัดกทม. เปิดเผย ผู้ว่าฯกทม.กำชับให้เตรียมความพร้อมศูนย์พักคอย 41 แห่ง รวม 5,158 เตียง พร้อมเปิดดำเนินการภายใน 7 ม.ค. 65 ขณะนี้ CI ทั้ง 13 แห่งแรกมีจำนวนเตียงพร้อมรองรับแล้ว 1,826 เตียง และเตรียมพร้อมอีก 28 แห่ง ให้สามารถเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.65 อีก 3,332 เตียง ปัจจุบันมีผู้ครองเตียง 137 ราย (ณ 8 ม.ค.) คงเหลือ 5,021 เตียง
สำหรับศูนย์พักคอยฯ เฉพาะสำหรับเด็กและครอบครัวแห่งนี้เป็น 1 ใน 13 แห่งแรกที่เปิดให้บริการได้ก่อน สามารถรับผู้ป่วยเด็กอายุ 5-12 ปี แบ่งเป็นได้ ชาย 26 คน และหญิง 26 คน เดิมได้ปรับเป็นสแตนด์บายโหมดอยู่แล้ว หากมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นเด็กอายุ 5-12 ปี ก็สามารถรับผู้ติดเชื้อมาดูแลได้ทันที
ส่วนศูนย์พักคอยฯ ประจำกลุ่มเขตที่เปิดให้บริการอีก 12 ศูนย์ฯ ได้แก่ 1. บริษัท RBS Logistic จำกัด เขตลาดพร้าว 175 เตียง 2. โรงเรียนการไปรษณีย์ เขตหลักสี่ 118 เตียง 3. ประปาแม้นศรี เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย 100 เตียง 4. ศูนย์ตันปัน เขตห้วยขวาง 145 เตียง 5. วัดสะพาน เขตคลองเตย 500 เตียง 6. นาซ่า แบงค์คอก เขตสวนหลวง 92 เตียง 7. ศูนย์พักคอย กทม. เขตคันนายาว 127 เตียง 8. ศูนย์สร้างสุขทุกวัย เขตบางกะปิ 133 เตียง 9. ศูนย์สร้างสุขทุกวัย เขตทวีวัฒนา 114 เตียง 10. ศูนย์สร้างสุขทุกวัย (สตรี) เขตบางกอกใหญ่ 50 เตียง 11. วัดกำแพง เขตภาษีเจริญ 100 เตียง 12. ศูนย์สร้างสุขทุกวัย เขตบางขุนเทียน 120 เตียง
นอกจากนี้ กทม.ยังได้จัดตั้งรพ.สนาม 4 แห่ง และรพ.สนามประจำกลุ่มเขตทั้ง 6 กลุ่มเขต 7 แห่ง โดยดำเนินการร่วมกับรพ.สังกัดภาครัฐและเอกชน จำนวน 4,974 เตียง รวมถึงเตรียมความพร้อมทั้งรพ.สนามและศูนย์พักคอยเพิ่มเติมอีก 25,345 เตียง แบ่งออกเป็น รพ.หลัก 2,922 เตียง รพ.สนาม 2,898 เตียง และ Hospitel 19,525 เตียง
ปลัดกทม. กล่าวต่อว่า กรณีประชาชนติดเชื้อโควิด-19 สามารถแจ้งเข้าสู่ระบบการรักษาได้ทางสายด่วน 1330 จะมีเจ้าหน้าที่ประเมินอาการและนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็วที่สุด กรณีฉุกเฉินสามารถติดต่อผ่านศูนย์เอราวัณ 1669 ได้อีก 1 ช่องทาง พร้อมกันนี้ จะเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต กลับมาให้บริการรับแจ้งเหตุผู้ป่วยโควิด-19 เข้าสู่ระบบการรักษาอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง.