เมื่อวันที่ 25 ม.ค. นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นำคณะเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศให้กลับสู่ระดับปกติว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการทำงานที่ใช้เวลาต่อเนื่องมานาน 6 ปี นับตั้งแต่ที่ได้มีการหารือ 3 ฝ่ายในระหว่างประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9-10 ต.ค.2559 ที่กรุงเทพฯ ระหว่างนายกรัฐมนตรี กับเจ้าชายเคาะลีฟะฮ์ บิน ซัลมาน อัลเคาะลีฟะฮ์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรบาห์เรน ในขณะนั้น และนายอาดิล บิน อะหมัด อัลณูบีร รมว.การต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ในขณะนั้น ซึ่งเป็นงานที่นายกรัฐมนตรีเอาใจใส่และติดตามมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา รวมถึงพยายามวางพื้นฐานจนได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็น  

“ถ้าท่านไม่ใส่ใจ ก็ไม่มาถึงวันนี้ ที่มีการเชิญให้ไปเยือน เพื่อปรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กลับเป็นปกติ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องง่าย จากที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ชะงักไป 30 กว่าปี วันที่ 25 ม.ค.นี้ จึงถือเป็นนิมิตใหม่ และท่านนายกฯเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้” นายดอน กล่าว

เมื่อถามว่าขณะนี้ซาอุดีอาระเบียไม่ได้ติดใจในประเด็นใดแล้วใช่หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า เราคุยกันเยอะมาก แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ในขณะนี้ มันไม่เป็นประโยชน์ ดังนั้น เราจะก้าวข้ามอดีต ไม่พูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว เพราะมันได้รับการดูแล และจัดการไปจนถึงขั้นที่พอใจกัน ต้องข้ามไปพูดถึงเรื่องอนาคต ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือน ก็จะมีการพูดคุยว่าเราจะเดินหน้าความสัมพันธ์ไปในทิศทางไหน และจะทำอะไรร่วมกันต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกันในวันนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปรับหน้าที่ในทันทีใช่หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมา ทุกอย่างต้องเดินไปตามขั้นตอน ซึ่งถือเป็นประโยชน์กับ 2 ฝ่าย ทั้งต่อประชาชนและประเทศ