นโยบายของผู้สมัครว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(ผู้ว่าฯกทม.) ซึ่งทุกคนต่างหยิบยกประเด็นปัญหาใหญ่ของ กทม.ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ ขยะ  น้ำท่วม ฝุ่น PM2.5  หนึ่งปัญหาท้าทายที่ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ต้องเข้ามาบริหาร คือ การพิจารณาต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะหมดสัญญาในปี 2572 เป้าหมายสูงสุดราคาค่าโดยสารในราคาถูกและเป็นธรรมที่สุด 

ที่ผ่านมาการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว กลายเป็นมหากาฬความขัดแย้งระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกทม. มานานกว่า 3 ปี นับจากปี 2562 ที่นำเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)  แม้กทม.โดยกระทรวงมหาดไทยจะเสนอครม.พิจารณาต่อสัญญามาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565  แต่ 7  รัฐมนตรีสังกัด พรรคภูมิใจไทย พร้อมใจกันลาประชุม และตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็น ให้กระทรวงมหาดไทยตอบคำถาม และให้นำกลับมาให้ ครม.พิจารณาใหม่อีกครั้ง

กระทั่งขณะนี้คณะรัฐมนตรียังไม่พิจารณาต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา   นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “บางอย่างมันก็เกินเลยที่รัฐบาลจะลงไปยุ่งเกี่ยวข้างล่าง มีคณะกรรมการทำมามากมาย ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการทำมาตามกฎหมาย มีการรับรองต่างๆ จากฝ่ายกฎหมายก็ว่าไป สิ่งสำคัญที่สุดที่เดือดร้อนคือประชาชน” 

         การให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้ตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณ การต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต้องรอผู้ว่าฯกทม. คนใหม่มาร่วมพิจารณา

                …ไล่เลียงนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ว่าแต่ละคนมีแนวทางในการเสนอแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง…

เริ่มจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระ เบอร์8 บอกว่า จะไม่ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้เอกชน แต่ใช้วิธีเจรจากับเอกชนต่อปัญหาภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถ และยังมีนโยบายโอนสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้า BTS ที่เหมือนเส้นเลือดใหญ่ ให้กับกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับไปดูแลบริหารจัดการ โดยมีเงื่อนไขกระทรวงคมนาคมจะต้องทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าต่ำกว่า 25-30บาท  ต้องเอาจริงเอาจังกับการทำระบบฟีดเดอร์ หรือระบบการเดินทางเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า ทั้งรถเมล์-วินมอเตอร์ไซค์-เรือโดยสาร

ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ผู้สมัครผู้ว่า ฯ กทม. หมายเลข 1 พรรคก้าวไกล  รับปากว่าจะ นำสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกมาตีแผ่ให้สาธารณะรับรู้ และค้านต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ผลักดัน ‘ตั๋วร่วม’ 15-45 บาทตลอดสาย นอกจากนี้จะเดินหน้า สร้าง ‘ตั๋วคนเมือง’ ซื้อตั๋ว 70 บาท ใช้ได้ 100 บาท สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถเมล์ใน กรุงเทพฯเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามเส้นทางเดินรถด้วย 

ด้าน สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เบอร์4 พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัมปทานรถฟ้าสายสีเขียว และเห็นว่าค่าโดยสารตลอดสายในอัตรา 20-25บาท สามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงได้  โดยออกพันธบัตรโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมทุนมาแก้ภาระหนี้ รวมทั้งนำค่าโดยสารมาแก้ปัญหาหนี้ของกทม.ตลอดจนค่าจ้างเดินรถในอนาคต

ส่วน รสนา โตสิตระกูล” ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 7 ประกาศชัดเจนตั้งแต่วันแรกคือไม่ต่อสัญญาสัมปทานให้บีทีเอส  และควรโอนรถไฟฟ้ากลับไปให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ( รฟม.) ดูแลเพื่อให้รัฐเป็นหน่วยงานกลางและสามารถกำหนดค่าโดยสารได้และมีระบบตั๋วใบเดียว ราคาไม่ควรเกิน 44 บาท เดินทางได้ทั่วกรุงเทพฯ

มาที่ สกลธี ภัททิยกุล” ผู้สมัครผู้ว่า ฯ กทม. หมายเลข 3 ข้ามการต่อสัญญาสัมปทานชู “กรุงเทพฯดีกว่านี้” ด้วยนโยบาย 6 ด้าน ด้านแรกการจราจรดีกว่านี้ได้ เชื่อมต่อ ล้อ-ราง-เรือ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีเทา วัชพล-ทองหล่อ รถไฟฟ้าสายสีเงิน บางนา-สุวรรณภูมิ ระบบนำส่งผู้โดยสารไปยังรถไฟฟ้าฟรีทั่วกรุง (Feeder) ATC (Actual Traffic Control) AI สัญญาณไฟจราจร เดินเรือไฟฟ้า EV อาทิ คลองแสนแสบส่วนต่อขยายเข้าเมือง คลองลาดพร้าว และคลองเปรมประชากร

สำหรับพล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่ากทม.  ยึดนโยบายเดิมขยายสัมปทานสายสีเขียวให้กับเอกชน โดยยกร่างสัญญาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับบีทีเอสซีในฐานะผู้รับสัมปทาน แต่ปัจจุบันเรื่องยังยืดเยื้อเนื่องจาก  กระทรวงคมนาคม และภาคสังคม ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะค่าโดยสารที่ยังมองว่าสูงเกินไปที่อัตรา65บาทตลอดสาย

กล่าวโดยสรุป…หัวใจสำคัญหากจะแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวด้วยการต่อสัญญาสัมปทาน ต้องทำให้การต่อสัมปทานโปร่งใสเป็นธรรม และไม่ผลักภาระค่าโดยสารให้กับผู้บริโภค

————————————
คอลัมน์ มุมคนเมือง
โดย ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่ง