กะว่าจะเก็บกระเป๋าไปแค่ 2-3 อาทิตย์ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้อยู่ยาวเลย ก็มองว่ามันเป็นจังหวะชีวิตของเรา“ สาวขอนแก่นคนดังในโลกโซเชียล ที่ชื่อ “เจฟฟี่-ณัฐชพิมพ์ ศุภนิมิตตระกูล” เล่าให้เราฟังถึง “จุดเริ่มต้น” ก่อนที่เธอจะกลายเป็นที่สนใจจากผู้คนในฐานะ “มาดามเหมืองทอง” หลังจากได้มีโอกาสไปทำงานในเหมืองทองไกลข้ามโลกถึง สาธารณรัฐกานา ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก แน่นอนว่า…เส้นทางกว่าจะถึงวันนี้ได้ของสาวไทยคนนี้จะต้องไม่ธรรมดา ซึ่ง “ทีมวิถีชีวิต” จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “สาวสวย-สาวแกร่ง” คนนี้กันในวันนี้…

“มาดามเหมืองทอง” เป็นฉายาของเธอคนนี้ หลังมีเส้นทางชีวิตที่ได้มีโอกาสไปทำงานในเหมืองทองคำที่ประเทศกานาเป็นเวลานานมากกว่า 5 ปี แถมสาวสวยคนนี้ยังมักจะเผยแพร่เรื่องราวของตัวเธอผ่านทางเฟซบุ๊ก รวมถึงทำช่อง YouTube ของตนเองชื่อ “Jeffy Nachapim” เพื่อฉายภาพชีวิตการทำงานของเธอที่ต้องคุมคนงานผู้ชายต่างชาตินับร้อยคน จนมียอดติดตามกว่า 1.5 ล้านคน!!! ทั้งนี้ เจฟฟี่ ให้ข้อมูลส่วนตัวว่า เธอมีชื่อจริงว่า ณัฐชพิมพ์ ศุภนิมิตตระกูล ปัจจุบันอายุ 29 ปี เป็นชาว จ.ขอนแก่น ซึ่งที่บ้านเธอทำโรงงานอิฐแดง โดยเธอเป็นลูกสาวคนที่ 3 และด้วยความที่พ่อแม่อยากได้ลูกชาย จึงตั้งชื่อเธอว่า “เจฟฟี่” …นี่เป็นประวัติโดยย่อและที่มาของ “ชื่อเล่น” ของเธอ ทั้งนี้ เจฟฟี่เล่าว่า ตอนอายุ 10 ขวบ เธอเริ่มเข้าแข่งขันกีฬาลีลาศประเภท Latin American หลังจากนั้นก็เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดและตัวแทนภาคตามลำดับ จนได้รับรางวัลเหรียญทองระดับประเทศเมื่อปี 2008 และได้เป็นตัวแทนนักกีฬาลีลาศทีมชาติไทยไปแข่งขันกีฬา Children of Asian Games ที่ประเทศรัสเซีย …นี่เป็นอีกมุมของสาวคนนี้ กับเส้นทางของการเป็น “นักกีฬาลีลาศ”

สมัยเป็นนักกีฬาลีลาศกับในมาดสวยเฉียบไม่เบา

ส่วน เส้นทางที่ทำให้ได้ไปทำงานเหมืองทองที่กานา เจฟฟี่ เล่าว่า หลังเรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ ที่ International Economics and Trade มหาวิทยาลัยจี้หนาน เมืองกว่างโจว ประเทศจีน เธอก็เริ่มทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก จนมี Connectionกับคนจีนซึ่งทำธุรกิจมากมาย โดยจุดเริ่มต้นการไปทำงานที่กานาเริ่มในปี 2017 เพราะพาร์ทเนอร์คนจีนรายหนึ่งได้ชวนให้เธอไปดูงานเหมืองทองที่นั่น เธอก็ตกลงใจไปทันที เพราะพาร์ทเนอร์คนนี้เคยทำเหมืองมาก่อน ซึ่งเหมืองที่ได้ไปดูเป็นเหมืองเก่าอายุกว่า 200 ปี เป็นเหมืองใต้ดินที่ชาวอังกฤษทำไว้ โดยมีความลึกลงไปใต้ดินราว 52 ชั้น

กะไปแค่  2-3 อาทิตย์ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจว่าไปดูงานเสร็จเดี๋ยวก็กลับ แต่พอไปถึงปุ๊บกลับจับพลัดจับผลู โอกาสมันมี สัมปทานก็ได้ จึงจดบริษัท และขอวีซ่า Work permit แล้วเซ็น สัญญาเริ่มทำงานเหมืองทองเลย ซึ่งตอนนั้นไม่มีจังหวะมานั่งคิดว่าจะทำดีไหม แต่คิดว่าโอกาสมีก็เลยลอง กลายเป็นว่าครั้งแรกอยู่นาน 3 เดือน ซึ่งพาร์ทเนอร์ดูแลเจฟฟี่ดีมากเพราะทำธุรกิจกันนานจนเป็นเหมือนกับญาติของเราไปแล้ว แต่ถ้าถามว่าพ่อแม่ห่วงไหม เป็นห่วง แต่เจฟฟี่คุยกับป๊าและม้าตลอด มีอะไรก็ถ่ายคลิปส่งไปให้ดู อัพเดทตลอด ที่สำคัญคือท่านเชื่อใจเราว่าเราเอาตัวรอดได้ เพราะเราเป็นคนที่ชอบผจญภัยอยู่แล้ว สาวสวยเจ้าของฉายา “มาดามเหมืองทอง” บอกกับเรา

ขำเป็นขำ

ก่อนพูดถึงการทำงานที่เหมืองทองกานาว่า ความเป็นอยู่ช่วงแรกลำบากมาก ๆ เพราะต่างกันทุกด้าน ทั้งความเป็นอยู่และวัฒนธรรม เรียกว่าทุกอย่างใหม่หมด แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายทุกวัน โดยเธอใช้เวลา 1 ปี อาศัยอยู่แต่ในโรงแรม เพื่อไปสำรวจหาเหมืองทองทั่วประเทศกานา เพราะเหมืองทองไม่ได้อยู่ในเมือง แต่จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลกันดาร และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ร้านอาหารก็ไม่มี ทำให้ชีวิตในช่วงนั้นจึงอยู่แต่ในรถกับการปีนเขา แต่หลังจากทุกอย่างเริ่มลงตัว เธอก็ได้เข้าบ้านพักในเหมืองโดยมีแม่บ้านคนจีนคอยทำอาหารให้เธอกิน ส่วนภารกิจหน้าที่หลักของเจฟฟี่นั้น เธอเล่าว่า จะมีหน้าที่ดูแลคนงานเหมืองราว 100 คน โดยเธอจะต้องวางนโยบายและคอยดูแลว่าใครมีปัญหาอะไรบ้าง รวมถึงต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และจ่ายเงินเดือนคนงาน ตลอดจนต้องคอยดูแลกิจกรรมและเอกสารของบริษัททั้งหมด นอกจากนั้นยังมีงานกฎหมาย การติดต่อประสานงานระหว่างเจ้าของเหมืองกับชาวบ้านและชุมชน รวมถึงรัฐบาลด้วย

เข้มเป็นเข้ม

ต้องทำทุกอย่างเลยค่ะ มีที่ไม่ได้ทำอย่างเดียวก็คือลงไปขุดทองด้วย!!! เธอบอกเรื่องนี้พร้อมเสียงหัวเราะ พร้อมกับบอกเราอีกว่า ก่อนจะมาทำเหมืองทอง เธอเคยทำงานเป็นล่ามภาษาให้กับคนจีนมาก่อน เพราะคนจีนมักจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้ ในขณะที่คนกานาจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ทำให้เธอต้องทำหน้าที่แปลเอกสารทั้งหมด จึงรู้เรื่องราวทุกอย่างในบริษัทอย่างดี จึงทำให้หุ้นส่วนชาวจีนยกตำแหน่ง COO (Chief Operating Officer) ให้กับเธอ

ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา จะมีสิ่งที่รอให้เราต้องทำเยอะมาก โดยเฉพาะเวลาขึ้นโต๊ะต่อรอง หรือเวลาขายทองกับโบรกเกอร์ เจฟฟี่ต้องอยู่ตรงนั้น ต้องพบและพูดคุยกับชาวบ้าน เพราะเราพูดภาษาได้ ทำเอกสารได้ มีความรู้ด้านนี้ ติดต่องานทนายความฝั่งไทย เรียกว่าตั้งแต่เราตื่นมาทุกคนต่างก็รอคอยเรา ทำให้เราเลยมีความรู้สึกว่ามีคุณค่า ส่วนเรื่องการเปิดบริษัทของตัวเอง ตรงนี้ต้องเล่าก่อนว่าพอเราได้เดินทางเยอะ ๆ ได้เจอกับชาวบ้านและผู้คนหลากหลายนั้น คนเขาจะมองเราว่าเป็นไชน่า คิดว่าเราเป็นคนจีน ก็มักจะเรียกให้เรามาลงทุนหน่อย บางคนเขาเอาโฉนดมาให้เจฟฟี่เลย คือ เขามีบ้าน หลังบ้านมีที่ดิน 10 ไร่ 50 ไร่ 100 ไร่ และรู้ว่ามีทองอยู่ใต้ดิน แต่คนกานาเขาไม่มีเงินลงทุน ไม่มีเครื่องจักร ดังนั้นคนกานาเวลาเขาจะขุดทอง เขาใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก ใช้มือขุดหรือใช้เครื่องมือถูก ๆ ทำให้ได้ทองแค่นิดหน่อย แต่ถ้าเอามาให้เรา เราก็จะเอานักลงทุนมาลงทุน วันหนึ่ง ๆ เรียกว่าขุดได้ทองมาก 300-1,000 ตัน ซึ่งคนกานาเขาก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย ดังนั้นเวลาเราไปที่ไหน พอเขาเห็นเราก็จะรีบเข้ามาต้อนรับ เพราะทุกคนอยากให้เราไปพานักลงทุนมาให้เขา เป็นภาพการทำเหมืองทองที่กานา ซึ่งเจฟฟี่ได้ฉายภาพไว้

กับคุณพ่อ-คุณแม่

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอตัดสินใจจะลงทุนเปิดบริษัทของตัวเอง ส่วนคำถามที่ว่า การคุมคนงานที่แตกต่างกันทั้งเชื้อชาติและวัฒนธรรมแบบนี้ยากไหม? เจฟฟี่ตอบว่า ช่วงแรกต้องบอกว่า ยากถึงยากที่สุด  ซึ่งอาจเพราะคนงานมองว่าเธอยังเด็ก เพราะตอนนั้นเธออายุแค่ 26-27 ปี ทำให้เขาไม่กลัวและคงอยากจะ “ลองของ” ช่วงแรก ๆ ทุกครั้งที่เธอสั่งงาน คนงานจะไม่ยอมทำ แต่เธอก็มีวิธีคุมคนงานในแบบฉบับของเธอ จนที่สุดก็ค่อย ๆ ซื้อใจลูกน้องได้ โดยเธอบอกเคล็ดลับของเธอว่า ใช้หลักให้เกียรติและการให้ความเคารพกันและกัน รวมถึงหลักบริหารที่เธอยึดถือและนำมาใช้ก็คือ จะต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ ดุได้ว่าได้แต่จะไม่ใช้คำหยาบ หลัง ๆ คนงานทุกคนจะรู้ว่าเราก็เป็นคนที่เอาเรื่องไม่ใช่น้อย (หัวเราะ)

เจฟฟี่จะบอกลูกน้องว่า แม้คนละเชื้อชาติคนละภาษา แต่เราเท่ากัน คือจะมีช่วงเวลาที่เล่นได้ สนุกสนานกันได้ แต่ถึงเวลาทำงานก็ต้องทำงาน ซึ่งพออยู่ไปนาน ๆ ทุกคนเขาจะรู้ว่า อันนี้มาดามไม่ ok นะ อันนี้ ok นะ ซึ่งทุกคนจะรู้เลยว่าเจฟฟี่จะเป็นคนค่อนข้างดุมาก ตัดเงินคือตัด ไม่ได้คือไม่ได้ แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เจฟฟี่ต้องปรับตัวหลายอย่างมาก เช่น เวลาไปเดินตลาด จากที่แค่เดินไปซื้อของเฉย ๆ เราก็เริ่มเข้าไปพูดคุยทักทายผู้คน ถึงได้รู้ว่าคนกานาเป็นคนสนุก เฟรนด์ลี่มาก เป็นคนผิวสีที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทำให้เราเริ่มใช้ชีวิตอย่างสนุกมากขึ้น จนเกิดไอเดียทำช่องยูทูบของตัวเอง เพราะอยากบอกเล่าประสบการณ์ให้กับคนอื่น ๆ ได้เห็น เพื่อให้หลายคนได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ และเพื่อให้คนได้เห็นว่า ผู้หญิงไทยเป็นนักสู้และแกร่งไม่แพ้ผู้ชาย เจฟฟี่ บอกเรื่องนี้ด้วยเสียงมุ่งมั่น

กับลูกชายของเธอ

ปัจจุบันเจฟฟี่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวน 1 คน ชื่อ น้องบรู๊คลิน วัย 1 เดือนกว่า ซึ่งตอนท้องเธอก็ยังทำงานในเหมืองทองตามปกติทุกอย่าง ระหว่างนั้นก็จ้างคนเพิ่มและสอนงาน จนใกล้ถึงกำหนดคลอดเธอจึงบินกลับมาที่เมืองไทย แต่ก็ยังทำงานเหมือนเดิมโดยสั่งงานตรวจงานจัดการงานที่เหมืองทองผ่านทางวิดีโอคอล ซึ่งเมื่อได้จังหวะเวลาที่ลงตัว เธอก็คงจะบินกลับไปทำงานที่ประเทศกานาต่อ เพราะทุกอย่างยังต้องเป็นเธอที่ต้องเป็นคนจัดการแบบ 100% อยู่ดี

ทั้งนี้ เจฟฟี่-ณัฐชพิมพ์ เผยทิ้งท้ายกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า หลายคนอาจมองเราเป็นหญิงเก่ง แต่เราเองมองว่าเรายังไม่ใช่ เพราะยังต้องฝึกฝนอีกมาก แต่ด้วยความที่เราชอบความท้าทาย เราก็คิดว่าโอกาสที่ผ่านเข้ามาทุกอย่างเราอยากลอง และหากจะถามว่าการที่เราเดินมาถึงจุดนี้ได้รู้สึกยังไง ในฐานะผู้หญิงไทยนั้น เจฟฟี่บอกได้เลยว่า…

เรารู้สึกภูมิใจมากที่สุด

‘แม่สื่อ’ ธุรกิจ ‘จีน-แอฟริกา’

กับสาวกานาภรรยาคนงาน

ในฐานะที่ทั้งเรียนที่จีน-ทำธุรกิจกับคนจีนมานาน เจฟฟี่-ณัฐชพิมพ์ ได้สะท้อนข้อมูลว่า… จากประสบการณ์ตรงที่ได้คลุกคลีกับนักธุรกิจจีนมานาน ทำให้รู้นิสัยของนักธุรกิจจีนดีว่าจะชอบลงทุนแบบเสี่ยง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบว่าธุรกิจในประเทศไกลโพ้นนั้นมักมีคนจีนเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน ส่วนเธอเองตัดสินใจเปิดบริษัททำหน้าที่เป็น “แม่สื่อ” โดยเธอเล่าว่า ถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ้า…ฝั่งนี้ก็เสนอเรา-ฝั่งโน้นก็อยากลงทุน เราก็เป็นแม่สื่อได้สิ จึงเปิดบริษัทในปี 2018 ใช้ชื่อว่า TAICHIGA ให้คำปรึกษาการลงทุนในแถบแอฟริกา เพราะเราผ่านความยากลำบากมามากจนรู้ขั้นตอนทุกอย่าง ซึ่งสไตล์นักลงทุนจีนเขาจะตัดสินใจเร็วมาก ชนิดที่เรียกว่าพอมาดูเสร็จปุ๊บ ก็โยนเงินมาให้เลย แต่เขาจะไม่อยากไปต่อแถวยื่นทำเอกสารอะไรเองให้เสียเวลา ซึ่งทวีปแอฟริกาเป็นตลาดที่เนื้อหอมของคนจีนมาก ๆ เพราะที่นี่โอเพ่นเรื่องการลงทุน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจีนเข้าลงทุนเยอะ ไม่ใช่แค่เหมือง แต่มีทั้งภัตตาคาร จนถึงกาสิโนก็มี.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน